แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความชำรุดบกพร่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 หมายความถึงความชำรุดบกพร่องซึ่งเกิดขึ้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 598,599 และ600. อันหมายถึงความชำรุดบกพร่องในตัวทรัพย์ที่ผู้รับจ้างส่งมอบให้กับผู้ว่าจ้างครบถ้วนแล้ว มิใช่หมายถึงการไม่ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามสัญญา
จำเลยไม่ส่งมอบลูกรังและทรายให้โจทก์ให้ครบถ้วนตามสัญญาจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้ภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างเหมาจำเลยขุดขนลูกรังและทราย จำนวน9,950 ลูกบาศก์เมตร นำไปกองในทางหลวงฯ เป็นเงินค่าจ้าง 139,300 บาทกำหนดงานแล้วเสร็จภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2510 ปรากฏตามสัญญาจ้างท้ายฟ้อง ซึ่งกำหนดความรับผิดไว้ว่า ถ้าผู้รับเหมามิได้ลงมือทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาฯ ผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาได้ และผู้รับจ้างยินยอมให้ปรับวันละ 150 บาท จนกว่างานจ้างรายนี้จะแล้วเสร็จโดยการกระทำของตนเองหรือการกระทำของผู้รับจ้างคนใหม่จำเลยมิได้ทำงานจ้างให้แล้วเสร็จตามสัญญา วันที่ 22 พฤษภาคม 2511 โจทก์บอกเลิกสัญญา ขอให้จำเลยชำระเงินค่าปรับนับแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2510 ถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2511 เป็นเงิน 52,800 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ลงมือทำงานตามสัญญาจ้างไปบ้างแล้วหากแต่มีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้น เพราะรถแทร็กเตอร์ 3 คัน และรถบรรทุก 20 คันที่ใช้งานอยู่ ถูกบริษัทสยามกลการ จำกัด ยึดไปโดยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อ และหารถอื่นมาแทนไม่ได้ จำเลยจึงไม่ผิดสัญญาโจทก์ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปถึง 11 เดือน จึงบอกเลิกสัญญาซึ่งไม่เป็นธรรม หากจะต้องเสียค่าปรับ ก็ขอหักเงินประกันสัญญา 6,965 บาท และเงินค่าลูกรังที่นำมากองถมถนนแล้วอีก 42,000 บาท โจทก์มิได้ฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2510 อันเป็นวันผิดสัญญา คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 601 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดการดำเนินกระบวนพิจารณาและวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความเหตุขัดข้องตามที่อ้างไม่ใช่เหตุสุดวิสัย จำเลยจึงเป็นผู้ผิดสัญญาต้องรับผิดชำระค่าปรับตั้งแต่วันครบกำหนดสัญญาถึงวันบอกเลิกสัญญาจำเลยหักเงินค่าประกันสัญญาและค่าลูกรังไม่ได้ จำเลยชอบที่จะฟ้องแย้งเรียกเงินสองจำนวนนี้หรือฟ้องเป็นคดีใหม่ พิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาประการแรกว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างทำของ การที่จำเลยส่งมอบลูกรังและทรายไม่บริบูรณ์ก็คือการส่งมอบชำรุดบกพร่อง ซึ่งเป็นที่ปรากฏในวันสุดท้ายของอายุสัญญา คือ วันที่ 5 มิถุนายน 2510 ค่าเสียหายอันโจทก์พึงเรียกเพื่อความชำรุดบกพร่องคือเบี้ยปรับ โจทก์ฟ้องคดีนี้เรียกเบี้ยปรับเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2513 เกิน 1 ปีนับแต่ความชำรุดบกพร่องปรากฏจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ความชำรุดบกพร่องตามมาตรา 601 หมายความถึงความชำรุดบกพร่องอันเกิดขึ้นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตราก่อน ๆ คือ มาตรา 598, 599 และ 600 อันหมายถึงความชำรุดบกพร่องในตัวทรัพย์ที่ผู้รับจ้างส่งมอบให้กับผู้ว่าจ้างตามสัญญาจ้างครบถ้วนแล้ว หาใช่หมายถึงการไม่ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามสัญญาดังเช่นการส่งมอบลูกรังและทรายไม่ครบดังกรณีนี้ไม่ เมื่อจำเลยไม่ส่งมอบลูกรังและทรายให้โจทก์ให้ครบถ้วนตามสัญญา จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้ภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
จำเลยฎีกาต่อไปว่า โจทก์ฟ้องเรียกเบี้ยปรับตั้งแต่วันถัดจากวันครบอายุสัญญา มิได้เรียกนับแต่วันเลิกสัญญา ตามสัญญาให้นับแต่วันเลิกสัญญาถึงวันแล้วเสร็จโดยการกระทำของลูกจ้างคนใหม่และตามฟ้องไม่ปรากฏว่ามีผู้รับจ้างคนใหม่เข้ามาทำงานให้แล้วเสร็จไปศาลต้องยกฟ้อง จำเลยต่อสู้คดีด้วยว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่บอกเลิกสัญญาในทันที และว่าจ้างผู้อื่นในเวลาอันสมควร ซึ่งจำเลยจะเสียค่าปรับไม่เกิน 9,000 บาท โจทก์เรียกค่าปรับสูงเกินส่วนจำเลยมีสิทธิหักหนี้ทั้งสองรายซึ่งยังจะต้องสืบพยานกันต่อไป ศาลฎีกาเห็นว่ามิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้
พิพากษายืน