คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12436/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นไต่สวนและวินิจฉัยคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของโจทก์ว่า คำขอของโจทก์บรรยายเพียงเหตุที่โจทก์ขาดนัดพิจารณา แต่มิได้บรรยายข้อคัดค้านว่า หากศาลพิจารณาคดีใหม่แล้วโจทก์จะเป็นฝ่ายชนะคดี ถือว่าคำขอพิจารณาคดีใหม่ของโจทก์มิได้บรรยายให้ครบถ้วนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 207 ประกอบมาตรา 199 จัตวา โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น จึงเป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ดังนั้น ไม่ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะมีคำพิพากษาเป็นประการใด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 207 ประกอบมาตรา 199 เบญจ วรรคสี่ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฎีกาอีกต่อไป ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ประกอบมาตรา 246, 142 (5) ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ย่อมไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลอาคารชุด ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งร่วมกันก่อตั้งบริษัทอันมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการให้เช่าและขายอสังหาริมทรัพย์ และจำเลยที่ 4 ผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 3 ร่วมกัน ชำระเงินค่าโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด 5 ห้อง และค่ารับเงินจากการบริหารงานกองทุน และค่าบริการส่วนกลางที่รับมาจากเจ้าของห้องชุดอาคารของโจทก์จำนวนเงิน 3,821,893.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 3,581,169.12 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินดังกล่าวให้โจทก์เสร็จสิ้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การให้สืบพยานโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฝ่ายเดียวและรอไว้มีคำพิพากษาพร้อมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อมาสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยให้สืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปฝ่ายเดียว แล้วศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 694,676.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2553 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่า โจทก์มิได้จงใจขาดนัดพิจารณาเนื่องจากทนายโจทก์คนก่อนถอนตัว โจทก์แต่งตั้งทนายความคนใหม่ ก่อนวันนัดพิจารณาวันที่ 28 มีนาคม 2556 ทนายโจทก์มีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูงอยู่ก่อนแล้วเกิดป่วยกะทันหัน มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ต้องไปพบแพทย์ไม่อาจไปว่าความที่ศาลได้ซึ่งถือเป็นเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้
จำเลยที่ 1 และที่ 2 คัดค้านว่า โจทก์จงใจขาดนัดพิจารณา และตามคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่มิได้บรรยายข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลโดยชัดแจ้งว่าตนอาจจะชนะคดีได้อย่างไร ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำขอพิจารณาคดีใหม่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นไต่สวนและวินิจฉัยคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของโจทก์ว่า คำขอของโจทก์บรรยายเพียงเหตุที่โจทก์ขาดนัดพิจารณา แต่มิได้บรรยายข้อคัดค้านว่าหากศาลพิจารณาคดีใหม่แล้วโจทก์จะเป็นฝ่ายชนะคดี ถือว่าคำขอพิจารณาคดีใหม่ของโจทก์มิได้บรรยายให้ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จัตวา ประกอบมาตรา 207 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น จึงเป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ดังนั้น ไม่ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะมีคำพิพากษาเป็นประการใด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 เบญจ วรรคสี่ ประกอบมาตรา 207 โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฎีกาอีกต่อไป ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246, 247 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์มาย่อมไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของโจทก์ โดยมิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share