แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความมีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมด้วย โดยมิได้กำหนดไว้ว่าจะให้ศาลสั่งคืนค่าฤชาธรรมเนียมให้แก่คู่ความทั้งหมดหรือไม่คืน หรือคืนแต่บางส่วน อันแสดงว่าในกรณีที่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความนั้นอยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามที่เห็นสมควร ซึ่งต่างจากกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องที่มาตรา 151 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลต้องมีคำสั่งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด หรือในกรณีที่มีการถอนคำฟ้องหรือได้มีการตัดสินให้ยกคำฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่หรือเมื่อคดีได้เสร็จเด็ดขาดลงโดยสัญญาหรือการประนีประนอมยอมความที่มาตรา 151 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือบางส่วนแก่คู่ความได้
โจทก์ยื่นฟ้องและจำเลยยื่นคำให้การจนถึงได้มีการนัดสืบพยานโจทก์แล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 25 เนื่องจากจำเลยถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไม่อาจถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้ตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วมีเหตุให้มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโจทก์ตั้งแต่ต้นอันจะทำให้ศาลมีคำสั่งคืนค่าธรรมเนียมคือคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้แก่โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคหนึ่งดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ โดยใช้ดุลพินิจให้ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นพับจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระหนี้21,304,007.10 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน17,684,156 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น จำเลยทั้งหกให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนัดสืบพยานโจทก์ ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งหกเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 14 ตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.290/2543 ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งหกเข้ามาดำเนินคดีแทนจำเลยทั้งหกและได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์ทั้งสองได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะดำเนินคดีนี้ต่อไปขอให้จำหน่ายคดี โจทก์ทั้งสองรับว่าได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าวจริงไม่ค้านที่จะให้จำหน่ายคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 17 ตุลาคม 2543ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 25,27, 91 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกให้เป็นพับ
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2543 โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบที่ศาลมีคำสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกให้เป็นพับ เพราะการที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีด้วยเหตุที่ไม่มีประโยชน์จะพิจารณาต่อไปเนื่องจากโจทก์ทั้งสองได้ไปขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแล้วนั้น ย่อมมีผลเท่ากับศาลสั่งไม่รับคำฟ้องหรือยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิให้ฟ้องคดีใหม่ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ให้อำนาจศาลที่จะสั่งคืนค่าธรรมเนียมทั้งหมดหรือบางส่วนได้ตามที่เห็นสมควร กรณีไม่ใช่ความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ที่จะให้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองฝ่ายเป็นพับ และมิใช่การที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีด้วยเหตุที่โจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้อง ถอนฟ้อง หรือขาดนัดพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 198 และ 132 ที่ศาลจะกำหนดเงื่อนไขในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมได้ตามสมควรจึงขอให้คืนค่าฤชาธรรมเนียม (ค่าขึ้นศาล) ทั้งหมดแก่โจทก์ทั้งสอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2543 โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ข้อกฎหมายทั้งตามคำสั่งศาลชั้นต้นในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 17 ตุลาคม 2543 และคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งในคำร้องของโจทก์ทั้งสอง ฉบับลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2543 โดยตรงต่อศาลฎีกา ซึ่งศาลชั้นต้นอนุญาตแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นนี้ตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองว่าการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกเป็นพับเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและต้องคืนค่าธรรมเนียม (ค่าขึ้นศาล)ทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า แม้คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองออกจากสารบบความด้วยเหตุที่จำเลยทั้งหกถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 25 ที่ให้อำนาจไว้ซึ่งกรณีมิใช่โจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้อง ถอนฟ้อง หรือขาดนัดพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198, 132 ดังเช่นที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ก็ตาม แต่ในการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมด้วยโดยมิได้กำหนดไว้ว่าจะให้ศาลสั่งคืนค่าฤชาธรรมเนียมให้แก่คู่ความทั้งหมดหรือไม่คืนหรือคืนแต่บางส่วนแต่อย่างใดเลย อันแสดงว่าในกรณีที่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความนั้น บทบัญญัติของกฎหมายในมาตราดังกล่าวมีเจตนารมณ์ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามที่เห็นสมควรเพื่อยังให้เกิดความเป็นธรรมแก่คู่ความเป็นเรื่อง ๆ ไปตามความเหมาะสม ซึ่งต่างจากกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลต้องมีคำสั่งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด หรือในกรณีที่มีการถอนคำฟ้องหรือได้มีการตัดสินให้ยกคำฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่ หรือเมื่อคดีได้เสร็จเด็ดขาดลงโดยสัญญาหรือการประนีประนอมยอมความประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือบางส่วนแก่คู่ความได้ สำหรับคดีเรื่องนี้ได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องและจำเลยทั้งหกยื่นคำให้การตลอดมาจนถึงได้มีการนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสองแล้ว แม้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองออกจากสารบบความตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 25 อันถือว่าเป็นผลของกฎหมายที่จำเลยทั้งหกถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็ตาม แต่กรณีไม่อาจถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้ตรวจคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองแล้วมีเหตุให้มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโจทก์ทั้งสองตั้งแต่ต้นอันจะทำให้ศาลมีคำสั่งคืนค่าธรรมเนียมคือคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองออกจากสารบบความ โดยใช้ดุลพินิจให้ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกเป็นพับนั้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 แล้ว ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบที่จะถูกเพิกถอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ดังเช่นที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ มิใช่เกิดจากการที่โจทก์ทั้งสองดำเนินกระบวนพิจารณาบกพร่องอันเป็นเหตุที่ให้ศาลต้องจำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองออกจากสารบบความตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หากเกิดจากเหตุที่จำเลยทั้งหกถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งโจทก์ทั้งสองก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายอีกด้วยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่คืนค่าธรรมเนียมให้โจทก์ทั้งสองเลยนั้นน่าจะเป็นภาระแก่โจทก์ทั้งสองที่ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนคือค่าธรรมเนียมในการยื่นฟ้องคดีนี้ และค่าธรรมเนียมในการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ซึ่งเป็นหนี้จำนวนเดียวกันที่โจทก์ทั้งสองเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งหกและไม่แน่นอนว่าโจทก์ทั้งสองจะได้รับเฉลี่ยชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งหกในคดีล้มละลายเต็มตามจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งหกเป็นหนี้โจทก์ทั้งสองตามฟ้องหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจให้ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกเป็นพับนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ทั้งสองทั้งหมดนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น