คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความเนื่องจากจำเลยถูกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมด้วย บทบัญญัติของกฎหมายในมาตราดังกล่าวมีเจตนารมณ์ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามที่เห็นสมควร ซึ่งต่างจากกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลต้องมีคำสั่งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด หรือในกรณีที่มีการถอนคำฟ้องหรือได้มีการ ตัดสินให้ยกคำฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่ หรือเมื่อคดีได้เสร็จเด็ดขาดลงโดยสัญญาหรือ การประนีประนอม ยอมความ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือบางส่วนแก่คู่ความได้ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองกับ จำเลยทั้งหกเป็นพับจึงชอบแล้ว
อย่างไรก็ตาม การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ ซึ่งเกิดจากเหตุที่จำเลยทั้งหก ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดนั้น โจทก์ทั้งสองก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายอีกด้วย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่คืน ค่าธรรมเนียมให้โจทก์ทั้งสองเลยนั้น น่าจะเป็นภาระแก่โจทก์ทั้งสองที่ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน คือ ค่าธรรมเนียมในการยื่นฟ้องคดีนี้และค่าธรรมเนียมในการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ซึ่งเป็นหนี้จำนวนเดียวกันที่โจทก์ทั้งสองเรียกร้อง ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นทั้งหมดแก่โจทก์ทั้งสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระหนี้ 21,304,007.10 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในเงินต้น 17,684,156 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น จำเลยทั้งหกให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนัดสืบพยานโจทก์ ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของ จำเลยทั้งหกเด็ดขาดตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งหกเข้ามาดำเนินคดีแทนจำเลยทั้งหกและได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์ทั้งสองได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะดำเนินคดีนี้ต่อไป ขอให้จำหน่ายคดี โจทก์ทั้งสองรับว่าได้ยื่นขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ดังกล่าวจริง ไม่ค้านที่จะให้จำหน่ายคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 25, 27, 91 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกให้เป็นพับ
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2543 โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบที่ศาลมีคำสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกให้เป็นพับ เพราะการที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีด้วยเหตุที่ไม่มีประโยชน์จะพิจารณาต่อไปเนื่องจากโจทก์ทั้งสองได้ไปขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแล้วนั้น ย่อมมีผลเท่ากับศาลสั่งไม่รับคำฟ้องหรือยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิให้ฟ้องคดีใหม่ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 ให้อำนาจศาลที่จะสั่งคืนค่าธรรมเนียมทั้งหมดหรือบางส่วนได้ตามที่เห็นสมควร กรณีไม่ใช่ความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161 ที่จะให้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองฝ่ายเป็นพับ และมิใช่การที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีด้วยเหตุที่ โจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้อง ถอนฟ้อง หรือขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 และ 132 ที่ศาลจะกำหนดเงื่อนไขในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมได้ตามสมควร จึงขอให้คืนค่าฤชาธรรมเนียม (ค่าขึ้นศาล) ทั้งหมดแก่โจทก์ทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องดังกล่าวแล้วมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2543 โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ข้อกฎหมายทั้งตามคำสั่งศาลชั้นต้นในรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ 17 ตุลาคม 2543 และคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งในคำร้องของโจทก์ทั้งสอง ฉบับลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2543 โดยตรงต่อศาลฎีกา ซึ่งศาลชั้นต้นอนุญาตแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นนี้ตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกเป็นพับ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและ ต้องคืนค่าธรรมเนียม (ค่าขึ้นศาล) ทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดี โจทก์ทั้งสองออกจากสารบบความด้วยเหตุที่จำเลยทั้งหกถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 25 ซึ่งกรณีมิใช่โจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้อง ถอนฟ้อง หรือขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198, 132 ดังเช่นที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ และในการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความนั้น ป.วิ.พ. มาตรา 167 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมด้วย อันแสดงว่า บทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามที่เห็นสมควรเพื่อยังให้เกิดความ เป็นธรรม ซึ่งต่างจากกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลต้องมีคำสั่งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด หรือในกรณีที่มีการถอนคำฟ้องหรือได้มีการตัดสินให้ยกคำฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่ หรือเมื่อคดีได้เสร็จเด็ดขาดลงโดยสัญญาหรือการประนีประนอมยอมความ ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือบางส่วนแก่คู่ความได้ สำหรับคดีนี้ได้ดำเนินกระบวนพิจารณามาจนถึงมีการนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสองแล้ว แม้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองออกจาก สารบบความตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 25 อันถือว่าเป็นผลของกฎหมายที่จำเลยทั้งหกถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็ตาม แต่กรณีไม่อาจถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้ตรวจคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองแล้วมีเหตุให้มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโจทก์ทั้งสองตั้งแต่ต้นอันจะทำให้ศาลมีคำสั่งคืนค่าธรรมเนียมคือค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ทั้งสองออกจากสารบบความ โดยใช้ดุลพินิจให้ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกเป็นพับนั้นชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 167 แล้ว อย่างไรก็ตามการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ เกิดจากเหตุที่จำเลยทั้งหกถูก ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งโจทก์ทั้งสองก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายอีกด้วย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจ ไม่คืนค่าธรรมเนียมให้โจทก์ทั้งสองเลยนั้น น่าจะเป็นภาระแก่โจทก์ทั้งสองที่ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมให้ โจทก์ทั้งสองเลยนั้น น่าจะเป็นภาระแก่โจทก์ทั้งสองที่ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน คือ ค่าธรรมเนียมในการยื่นฟ้องคดีนี้ และค่าธรรมเนียมในการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ซึ่งเป็นหนี้จำนวนเดียวกันที่โจทก์ทั้งสองเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งหกและไม่แน่นอนว่าโจทก์ทั้งสองจะได้รับเฉลี่ยชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของแก่จำเลยทั้งหกใน คดีล้มละลายเต็มตามจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งหกเป็นหนี้โจทก์ทั้งสองตามฟ้องหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจให้ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งหกเป็นพับนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ทั้งสองทั้งหมด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share