แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทรวมกับโจทก์ที่ปลูกอยู่บนที่ดิน 2 แปลง ซึ่งมีรั้วล้อมรอบที่ดินโดยที่ดินแปลงหนึ่งจำเลยได้รับการยกให้จากมารดา อีกแปลงหนึ่งคือที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์ได้รับยกให้จากน้องชายจำเลยโดยมีข้อแลกเปลี่ยนให้โจทก์ยอมรับบุตรของน้องชายจำเลยเป็นบุตรของโจทก์ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแม้โจทก์จะมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียวก็ตาม แต่โจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาในระหว่างที่อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยโดยได้รับการยกให้จากน้องชายจำเลยด้วยความสัมพันธ์และข้อแลกเปลี่ยนระหว่างบุคคลในครอบครัว ทั้งสองฝ่ายได้ครอบครองร่วมกันมาระหว่างอยู่กินด้วยกัน ถือว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกัน โจทก์จำเลยจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทร่วมกันคนละครึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 27556 ตำบลโสธร อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทราพร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 67/31 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าว เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2534 จำเลยมาขออาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อีกต่อไป จึงบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไป แต่จำเลยไม่ยอมขนย้ายออกไป จึงขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านเลขที่ 67/31 และที่ดินโฉนดเลขที่ 27556 ตำบลโสธร อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้จำเลยชำระค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 4,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์กับจำเลยได้อยู่กินฉันสามีภริยากันมานานกว่า 10 ปีมาแล้ว ที่ดินและบ้านตามฟ้องโจทก์กับจำเลยได้ร่วมกันทำมาหาได้ระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยา จำเลยจึงมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ในฐานะเป็นหุ้นส่วนจำเลยมีสิทธิอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนลงชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและบ้านพิพาท หากโจทก์ไม่ยินยอมให้นำที่ดินพร้อมบ้านพิพาทออกขายทอดตลาดแล้วแบ่งเงินที่ได้ให้โจทก์กับจำเลยคนละครึ่ง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และให้โจทก์จดทะเบียนลงชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 27556 ตำบลโสธรอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 67/31 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าว หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้โจทก์แบ่งที่ดินพิพาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติโดยมิได้โต้แย้งกันว่าจำเลยเคยอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์โดยมิได้จดทะเบียนสมรสและจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ในบ้านพิพาทคงมีปัญหาในชั้นฎีกาเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ในที่ดินพิพาทด้วยหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ด้วยกึ่งหนึ่งนั้น เห็นว่า บ้านพิพาทซึ่งข้อเท็จจริงยุติแล้วว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ได้ปลูกบนที่ดิน 2 แปลง และล้อมรั้วรอบที่ดินทั้งสองแปลง ที่ดินแปลงหนึ่งจำเลยได้รับการยกให้จากมารดา อีกแปลงหนึ่งคือที่ดินพิพาทโจทก์ได้รับยกให้จากน้องชายจำเลยโดยมีข้อแลกเปลี่ยนให้โจทก์ยอมรับบุตรของน้องชายจำเลยเป็นบุตรของโจทก์ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแม้โจทก์จะมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียวก็ตาม แต่โจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาในระหว่างที่อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย โดยได้รับการยกให้จากน้องชายจำเลยด้วยความสัมพันธ์และข้อแลกเปลี่ยนระหว่างบุคคลในครอบครัวทั้งสองฝ่ายได้ครอบครองร่วมกันมาระหว่างอยู่กินด้วยกันถือว่าเป็นทรัพย์ที่ทำมาหาได้ร่วมกันมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันคนละครึ่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้โจทก์แบ่งที่ดินพิพาทนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น