แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นผู้เช่าห้องไปจากโจทก์ ครั้นครบกำหนดตามสัญญาและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว จำเลยไม่ยอมอก ดังนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยและบริวารให้ออกจากห้องเช่ารายนั้นได้ แม้จำเลยจะต่อสูว่า เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว ผู้แทนโจทก์ให้คนอื่นเช่าห้องนั้นต่อ และจำเลยอาศัยอยู่กับผู้เช่าใหม่นั้นก็ตาม ศาลก็มีอำนาจพิจารณาคดีไปได้ และเมื่อข้อนำสืบของจำเลยไม่พอจะหักล้างสิทธิของโจทก์ได้ ศาลก็ย่อมพิพากษาขับไล่จำเลย และบริวารออกจากห้องพิพาทได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกเลขที่ ๑๙๗-๑๙๙-๒๐๑-๒๐๓ ไปจากโจทก์มีกำหนด ๓ ปี บัดนี้จำเลยประพฤติผิดสัญญาเช่าโดยค้างค่าเช่า ๑๑ เดือน และดัดแปลงสถานที่เช่าโดยมิได้รับอนุญาต ฯลฯ จึงขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากตึกเช่ารายนี้ กับให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง ๒๖๔๐ บาท
จำเลยให้การว่า ได้เช่าห้องจากโจทก์จริง แต่สัญญาได้เลิกกันแล้ว จำเลยไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เช่าของโจทก์ตั้งแต่หมดสัญญา นายเปงกิมตัวแทนโจทก์หรือเจ้าของร่วมกับโจทก์ ได้ทำสัญญาให้นางเนี่ยวมุ้ยเช่าตึกรายนี้ต่อไปแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากตึกเช่า และให้จำเลยชำระค่าเช่า ๒๑๖๐ บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ย ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทำสัญญาเช่าตึก ๔ ห้องนี้ไปจากโจทก์ บัดนี้สัญญาเช่าสิ้นอายุแล้ว และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยยังคงอยู่ในตึกรายพิพาทต่อมา โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารได้ ข้อที่จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยเป็นลูกจ้างนายเนี่ยวมุ้ย ๆ ได้ทำสัญญาเช่าตึก ๔ ห้องนี้จากนายเปงกิม ๆ กับนายเนี่ยวมุ้ยเป็นคนนอกคดี ศาลฎีกาเห็นว่าข้อนำสืบหักล้างของจำเลยไม่พอจะหักล้างสิทธิของโจทก์ได้
จึงพิพากษายืน