แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งที่ปลัดกระทรวงกลาโหมลงนามแต่งตั้งอัยการผู้ช่วยศาลทหารกรุงเทพฯ โดยวิธีคำสั่งรัฐมนตรีนั้นเป็นคำสั่งรัฐมนตรีตั้ง หาใช่ปลัดกระทรวงตั้งไม่ จึงชอบด้วย พ.ร.บ.พระธรรมนูญศาลทหาร ม. 79
เมื่ออัยการศาลทหารกรุงเทพฯเป็นพยานในคดีใด ซึ่งต้องห้ามมิให้เป็นโจทก์ตาม พ.ร.บ.พระธรรมนูญศาลทหารมาตรา 85(2) อัยการผู้ช่วยศาลทหารกรุงเทพฯ จึงมีอำนาจลงชื่อเป็นโจทก์ฟ้องคดีนั้นได้ หาขัดต่อ พ.ร.บ.พระธรรมนูญศาลทหาร ม.80 ไม่
ศาลฎีกามีอำนาจยกคำพิพากษาศาลทหารกลางแล้วให้ศาลทหารกลางวินิจฉัยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามกระบวนความ
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก ์ฟ้องว่าจำเลยเป็นนายทหารสัญญาบัตรประจำการสังกัดสำนักเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใช้อำนาจหน้าที่ทางทุจริตเรียกและรับสินบนอันเป็นการกระทำผิดหลายบทหลายกะทงต่างกรรมต่างวาระกัน ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๑๒๗,๑๓๗,๑๓๘,๑๔๒,๗๑, พ.ร.บ.แก้ไยเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ.๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๒) ม.๓ พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๓
จำเลยปฏิเสธและตัดฟ้องว่า
๑. ฟ้องโจทก์ข้อ ๒ ไม่ระบุวันกระทำผิดและรายละเอียดแห่งข้อหา เป็นฟ้องเคลือบคลุม
๒. การสอบสวนมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อบังคับทหารว่าด้วย ระเบียนจัดการทางคดี ถือว่ามิได้มีการสอบสวน เฉพาะฟ้องข้อ ๓ และข้อ ๔ จำเลยมิได้ถูกสอนสวน
๓. เฉพาะอัยการโจทก์เท่านั้น มีอำนาจลงชื่อเป็นโจทก์ตาม พ.ร.บ.ธรรมนูญศาล ม.๘๐ อัยการผู้ช่วยหรือผู้อื่นหามีอำนาจไม่
๔. คดีนี้ เป็นคดีปะปนพลเรือนร่วมกระทำผิด ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาได้
๕. คำสั่งแต่งตั้งอัยการผู้ช่วยเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลทหารกรุงเทพฯ ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีความผิด ๒ กะทง คือ
๑. ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกและรับสินบนตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.๑๓๘ วรรคแรกให้จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน
๒. ฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำการที่ไม่ควรกระทำตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.๑๔๒ วรรคแรก ให้จำคุก ๔ เดือน
รวม ๒ กะทงจำคุก ๑ ปี ๑๐ เดือน ข้อตัดฟ้องของจำเลยฟังไม่ขึ้น
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.๑๓๘ วรรค ๒ ฐานฝ่าฝืนกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.๑๒๗ และกำหนดโทษให้หนักสมกับความผิด
จำเลยอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลทหารกลางวินิจฉัยว่า คำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ ๑๓๐/๑๑๕๖๐ ลงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๙๓ ซึ่งปลัดกระทรวงกลาโหมลงนามแต่งตั้งนายดรุณ(ร้อยเอกดรุญ พันธฟัก) เป็นอัยการผู้ช่วยศาลกรุงเทพฯ โดยวิธีคำสั่งรัฐมนตรีฯ นั้นไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.พระธรรมนูญศาลทหาร ม.๗๕ ผู้รับแต่งตั้งจึงไม่ใช่อัยการผู้ช่วยฯ ร้อยเอกดรุณ จึงไม่มีอำนาจลงชื่อเป็นโจทก์กระบวนดำเนินการคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคำสั่งแต่งตั้งโดยวิธีรับคำสั่งรัฐมนตรีนั้นจะอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบป้องกันอาณาจักร์ พ.ศ.๒๔๙๐ ม.๕ วรรค ๒ ก็ไม่ได้เพราะมิใช่ทำการแทน ข้อตัดฟ้องของจำเลยข้อ ๓ และ ๕ ฟังขึ้น จึงไม่ต้องวินิจฉัยข้อตัดฟ้องอื่นของจำเลยตลอดจนเนื้อเรื่องแห่งการกระทำผิดต่อไป พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลย
ตุลาการผู้รักษาพระธรรมนูญ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาฝ่ายข้องน้อยทำความเห็นแย้งว่า จำเลยก็แถลงรับว่าร้องเอกดรุณ พันธ์ฟัก มีตำแหน่งเป็นอัยการผู้ช่วย ศาลทหารกรุงเทพฯ อยู่แล้ว จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งแต่งตั้งร้อยเอกดรุณเป็นอัยการผู้ช่วย ศาลทหารกรุงเทพฯ อยู่แล้วจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งแต่งตั้งร้อยเอกดรุณเป็นอัยการผู้ช่วยศาลทหารกรุงเทพฯ นั้นชอบหรือมิชอบประการใดอีก เมื่อร้อยเอกดรุณเป็นอัยการผู้ช่วยศาลทหารกรุงเทพฯ จึงลงชื่อเป็นโจทก์แทนได้ ทั้งนี้เพราะพันตรีสุนทรอัยการศาลทหารกรุงเทพฯ ได้เป็นพยานในคดีนี้ ซึ่งต้องห้ามมิให้เป็นโจทก์ตาม พ.ร.บ.พระธรรมนูญศาลทหาร ม.๘๕(๒) ข้อตัดฟ้องของจำเลยข้อ+และ ๕ ฟังไม่ขึ้น จึงเห็นควรวินิจฉัยข้อตัดฟ้องอื่น ของจำเลยเพื่อนำไปสู้เนื้อเรื่องแห่งการกระทำผิดต่อไป
โจทก์และผู้มีอำนาจตั้งกรรมการศาลทหารฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้มีปัญหาในข้อกฎหมายว่า คำสั่งกระทรวงกลาโหม ๑๓๐/๑๑๕๖๐ ลงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๙๓ นั้น จะชอบด้วย พ.ร.บ.พระธรรมนูญศาลทหารมาตรา ๗๙ หรือไม่
พระธรรมนูญศาลทหารมาตรา ๗๙ บัญญัติว่า ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะตั้งผู้ช่วยอัยการทหารสำหรับให้ช่วยในหน้าที่อัยการนั้นก็ได้ ”
คำสั่งแต่งตั้งนายดรุณ พันธ์ฟัก (ร้อยเอกดรุณ พันธ์ฟัก) มีข้อความดังนี้
คำสั่งกระทรวงกลาโหม
ที่ ๑๓๐/๑๑๕๖๐
เรื่องให้ข้าราชการรับราชการ
————–
ให้ข้าราชการรับราชการดังต่อไปนี้
ฯลฯ ฯลฯ
เรื่องให้ข้าราชการรับราชการ
————-
ให้ข้าราชการดังต่อไปนี้รับราชการ
ฯลฯ ฯลฯ
๓. นายดรุณ พันธ์ฟัก ผู้ช่วยอัยการศาลทหารกรุงเทพฯ ธน ๑ เป็นอัยการผู้ช่วยศาลทหารกรุงเทพฯ ธน.๑
ฯลฯ ฯลฯ
ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้
สั่ง ณ วันที่ ๒๔ กรกฎมคม ๒๔๙๓
รับคำสั่งรัฐมนตรีฯ
(ลงชื่อ) พล.อ.หลวงเสนาณรงค์
ปลัดกระทรวงกลาโหม
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำสั่งฉบับนี้ โดยตลอดแล้วเห็นว่าเป็นคำสั่งรัฐมนตรี ตั้งนายดรุณ พันธ์ฟัก (ร้อยเอกดรุณ พันธ์ฟัก) ผู้ช่วยอัยการศาลทหารกรุงเทพฯ ธน.๑ เป็นอัยการผู้ช่วยศาลทหารกรุงเทพฯธน.๑ หาใช่ปลัดกระทรวงตั้งไม่ การที่ปลัดกระทรวงเป็นผู้ลงนามนั้น ก็เป็นแต่เพียงผู้ได้รับคำสั่งให้ประกาศการแต่งตั้งเท่านั้น และทั้งตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวงกรม พ.ศ.๒๔๙๕ วรรค ๒ มาตรา ๗ วรรค ๒ ก็บัญญัติว่า ” ราชการกระทรวงกลาโหมเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนที่มีอยู่ ” การที่ได้ปฏิบัตินี้ก็ได้เป็นไปตามระเบียบแผนที่มีอยู่ไม่ขัดต่อพระธรรมนูญศาลทหารมาตรา ๗๙ และเพราะเหตุพันตรีสุนทร อัยการศาลทหารกรุงเทพฯ เป็นพยานในคดีนี้ ซึ่งต้องห้ามมิให้เป็นโจทก์ตามพระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหารมาตรา ๘๕(๒) นายดรุณ พันธ์ฟักจึงมีอำนาจลงชื่อเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้ได้ ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหารมาตรา ๘๐
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลทหารกลาง ให้ศาลทหารกลางวินิจฉัยข้อกฎหมายอื่นและข้อเท็จจริงในท้องสำนวนต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามกระบวนความ