แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ไนเรื่องหมิ่นประมาทเขาซึ่งหน้า+เปนผิดถามละหุโทสนั้น ถือว่าเปนการทำลเมิดตามประมวนกดหมายแพ่งและพานิชมาตรา 420 ซึ่งสาลคำนวนหาเสียหายไห้ตามควรแก่พรึติการน์ตามมาตรา 438
คำว่าสิทธิหมายถึงประโยช์อันบุคคล+หยู่และบุคคลอื่นต้องเคารพหรือได้รับการรับรองและคุมครองของกดหมาย
ย่อยาว
ได้ความว่าจำเลยกล่าวคำหมิ่นประมาทโจทว่า “อ้านจูมอ้ายชาติแนวหมา” สาลพิพากสาปรับจำเลย ๔ บาท ตามกดหมายลักสนะอาญามาตรา ๓๓๙ (๒) คดีถึงที่สุด โจทจึงฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีนี้ ๓๐ บาท สาลชั้นต้นพิพากสาว่า โจทยังไม่มีการเสียหาย จึงยกฟ้องโจท
สาลอุธรน์เห็นว่า การกะทำของจำเลยเปนการละเมิดตามประมวนกดหมายแพ่งและพานิชมาตรา ๔๒๐ ไห้ไช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจท ๔ บาท แต่มีความเห็นแย้งว่า การกะทำของจำเลยไม่เปนการละเมิดตามาตรา ๔๒๐ และจะไช้ค่าสินไหมทดแทนไนเรื่องละเมิดก็เท่าที่กดหมายบังคับไห้ไช้
จำเลยดีกา สาลดีกาวินิจฉัยว่า แม้จะมีมาตรา ๔๒๓ บัญญติถึงเรื่องพูดอันเอนการละเมิดสินธิของผู้อื่นไว้ ก็ไม่หมายความว่าการละเมิดจะมีได้ฉเพาะดังบัญญัติไว้ไนมาตรา ๔๒๓ สาลดีกาเห็นว่าการที่จำเลยค่าโจทนั้นเปนการทำต่อโจทตามมาตรา ๔๒๐ แต่จะเปนการเสียหายต่อสิทธิของโจทหรือไม่นั้นเห็ฯว่า คำว่าสิทธิได้แก่ประโยชน์อันบุคคลมีหยู่และบุคคลอื่นต้องเคารพ กล่าวคือ ได้รับการับรองและคุ้มครองของกดหมาย กดหมายอาญามาตรา ๓๓๙(๒) ลงโทษสการีด่า ฉะนั้นจึงต้องถือว่ากดหมายรับรองว่าบุคคลมีสิทธิที่จะไม่ได้ไครมาด่า ฉะนั้นการที่จำเลยด่าโจทจึงเปนละเมิด มาตรา ๔๒๐ ตอนท้ายว่าผู้ละเมิดจำต้องไช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งสาลอาดคำนวนเอาได้ตามความร้ายแรงแห่งละเมิด ตามมาตรา ๔๓๘ จึงพิพากสายืนตามสาลอุธรน์