คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1239/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การอ้างฐานะในการใช้สิทธิต่างกันของโจทก์ทั้งสองที่ทรงสิทธิเดียวกัน หาได้ทำให้ฐานะของการเป็นคู่ความของโจทก์ทั้งสองเปลี่ยนแปลง หรือต่างกันไปด้วยไม่ กล่าวคือโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ยังมีฐานะเป็นคู่ความฝ่ายโจทก์รายเดียวกันกับคู่ความฝ่ายโจทก์ในคดีก่อน ดังนั้น เมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายของคดีนี้เป็นคู่ความรายเดียวกันกับคู่ความในคดีก่อนพิพาทกันในประเด็นเดียวกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วในคดีก่อน จึงห้ามมิให้โจทก์ทั้งสองในคดีนี้รื้อร้องฟ้องกันใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรและเป็นผู้อนุบาลของนางสายใจร่วมกับจำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และคำพิพากษาตามยอมจำเลยทั้งสองเป็นบุตรของนางสายใจเช่นกันและจำเลยทั้งสองเคยเป็นผู้อนุบาลของนางสายใจตามคำสั่งของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองกระทำการโดยมีเจตนาไม่สุจริตในการจัดการทรัพย์สินของนางสายใจกล่าวคือ จำเลยทั้งสองได้ใช้จ่ายเงินเป็นค่าทนายความและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในสำนวนคดีอาญาเรื่องเบิกความเท็จ ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของจำเลยทั้งสองเอง จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิที่จะเอาเงินจากกองทรัพย์สินของนางสายใจไปใช้จ่ายได้ และจำเลยทั้งสองได้ใช้จ่ายเงินในคดีอาญาเรื่อง ยักยอกเงินปันผล ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องดำเนินคดีดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน373,500 บาท ที่ใช้จ่ายเกินความจำเป็นคืนแก่กองทรัพย์สินของนางสายใจหรือให้แก่โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้อนุบาลของนางสายใจพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ระหว่างที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้อนุบาลของนางสายใจนั้น จำเลยทั้งสองว่าจ้างทนายความเป็นที่ปรึกษาเพื่อสืบเสาะและรวบรวมทรัพย์สินไปตามความเหมาะสมและไม่เกินความเป็นจริงหรือเกินความจำเป็น ทั้งได้ใช้จ่ายโดยสุจริตและชอบด้วยเหตุผลทุกประการ โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองได้เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันไว้แล้วขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นเกี่ยวแก่อำนาจฟ้องของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องคัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมวินิจฉัยในคำพิพากษาคราวเดียวกัน อนึ่ง ในวันนัดสืบพยานโจทก์ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับกันว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายได้เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษา ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วและรับว่าเหตุคดีนี้กับรายการทรัพย์ที่พิพาทตามฟ้องเป็นมูลกรณีที่เกิดขึ้นก่อนการตกลงประนีประนอมยอมความในคดีก่อน ศาลชั้นต้นจึงให้งดสืบพยานของทั้งสองแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาว่า การฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสองแต่ละคดีโจทก์ทั้งสองเพียงแต่อ้างฐานะในการใช้สิทธิต่างกันเท่านั้น คือในคดีก่อนโจทก์ทั้งสองอ้างฐานะของความเป็นทายาทผู้มีส่วนได้เสียในกรณีที่กองทรัพย์สินของนางสายใจถูกจำเลยทั้งสองใช้จ่ายไปโดยไม่สุจริต ส่วนคดีนี้โจทก์ทั้งสองอ้างฐานะของความเป็นผู้อนุบาลของนางสายใจซึ่งเกิดจากคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลชั้นต้นในคดีก่อนเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินส่วนที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้อนุบาลของนางสายใจนำจากกองทรัพย์สินของนางสายใจไปใช้โดยไม่สุจริตคืน ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้ว่ากล่าวกันในคดีก่อนแล้ว การอ้างฐานะในการใช้สิทธิต่างกันของโจทก์ทั้งสองที่ทรงสิทธิเดียวกันเช่นนี้ หาได้ทำให้ฐานะของการเป็นคู่ความของโจทก์ทั้งสองเปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างกันไปด้วยไม่ กล่าวคือโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ยังมีฐานะเป็นคู่ความฝ่ายโจทก์รายเดียวกันกับคู่ความฝ่ายโจทก์ในคดีก่อน ดังนั้นเมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายของคดีนี้เป็นคู่ความรายเดียวกันกับคู่ความในคดีก่อนพิพาทกันในประเด็นเดียวกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วในคดีก่อน จึงห้ามมิให้โจทก์ทั้งสองในคดีนี้รื้อร้องฟ้องกันใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสองในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share