แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีอ้างฐานะของความเป็นทายาทผู้มีส่วนได้เสียในกรณีที่กองทรัพย์สินของ ส. ถูกจำเลยทั้งสองใช้จ่ายไปโดยไม่สุจริต ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนจำเลยทั้งสองออกจากการเป็นผู้อนุบาลของ ส. ส่วนคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีอ้างฐานะของความเป็นผู้อนุบาลของ ส. ซึ่งเกิดจากคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลชั้นต้นในคดีก่อนเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินส่วนที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้อนุบาลของ ส. นำจากกองทรัพย์สินของ ส. ไปใช้โดยไม่สุจริตคืน ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้ว่ากล่าวกันในคดีก่อนแล้วการอ้างฐานะในการใช้สิทธิต่างกันของโจทก์ทั้งสองที่ทรงสิทธิเดียวกันเช่นนี้หาได้ทำให้ฐานะของการเป็นคู่ความของโจทก์ทั้งสองเปลี่ยนแปลงหรือต่างกันไปด้วยไม่โจทก์ทั้งสองยังมีฐานะเป็นคู่ความฝ่ายโจทก์รายเดียวกันกับคู่ความฝ่ายโจทก์ในคดีก่อนและพิพาทกันในประเด็นเดียวกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วในคดีก่อน ห้ามมิให้โจทก์ทั้งสองรื้อร้องฟ้องกันใหม่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148ฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรของนางสายใจ นิวาตวงศ์และเป็นผู้อนุบาลของนางสายใจร่วมกับจำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1119/2528 ของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองเป็นบุตรของนางสายใจเช่นกัน และจำเลยทั้งสองเคยเป็นผู้อนุบาลของนางสายใจตามคำสั่งของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองกระทำการโดยมีเจตนาไม่สุจริตในการจัดการทรัพย์สินของนางสายใจในการดำเนินคดีต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอเป็นผู้อนุบาลของนางสายใจ โดยใช้จ่ายเงินในคดีดังกล่าวเป็นค่าทนายความและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เป็นจำนวนมากเกินสมควร และต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้อนุบาลของนางสายใจแล้ว จำเลยทั้งสองได้ใช้จ่ายเงินจากกองทรัพย์สินของนางสายใจโดยไม่สุจริตและเกินสมควรกล่าวคือได้ใช้จ่ายเงินเป็นค่าทนายความและค่าใช้จ่ายอื่น ๆในสำนวนคดีอาญาของศาลอาญา เรื่องเบิกความเท็จ ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของจำเลยทั้งสองเอง จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิที่จะเอาเงินจากกองทรัพย์สินของนางสายใจไปใช้จ่ายได้และจำเลยทั้งสองได้ใช้จ่ายเงินในคดีอาญาของศาลชั้นต้น เรื่องยักยอกเงินปันผลซึ่งจำเลยทั้งสองไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องดำเนินคดีดังกล่าว รวมเงินที่จำเลยทั้งสองใช้จ่ายไปเกินความจำเป็นทั้งสิ้นจำนวน 373,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 373,500 บาท คืนแก่กองทรัพย์สินของนางสายใจหรือให้แก่โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้อนุบาลของนางสายใจพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า ระหว่างที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้อนุบาลของนางสายใจนั้น จำเลยทั้งสองว่าจ้างทนายความเป็นที่ปรึกษาและมอบให้ดำเนินการสืบเสาะทรัพย์สินและเอกสารที่เกี่ยวข้องแก่ทรัพย์สินของนางสายใจ ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในที่ต่าง ๆ เป็นจำนวนมากและยากแก่การสืบเสาะต้องใช้วิธีการต่าง ๆ อันจำเป็นและต้องเสี่ยงภัย เพื่อรวบรวมทรัพย์สินเหล่านั้น จึงต้องใช้จ่ายเงินเพื่อการนี้ไปตามความเหมาะสมและไม่เกินความเป็นจริง หรือเกินความจำเป็น ทั้งได้ใช้จ่ายโดยสุจริตและชอบด้วยเหตุผลทุกประการ โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองได้เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันไว้แล้วตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1119/2528 ของศาลชั้นต้น ซึ่งมีข้อตกลงว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 1กับที่ 2 ในคดีดังกล่าวไม่ติดใจเรียกร้องอะไรแก่กันอีก ทั้งสัญญาระบุว่าหากมีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ก็ขอตั้งให้นายเมธา นิวาตวงศ์ เป็นอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยข้อพิพาทและทั้งสองฝ่ายยอมรับคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการโดยจะไม่โต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น โจทก์ทั้งสองนำคดีมาฟ้อง โดยไม่ได้มอบข้อพิพาทให้นายเมธา วินิจฉัยข้อพิพาทก่อน โจทก์ทั้งสองจึงกระทำการโดยไม่สุจริต ผิดข้อตกลง และฟ้องของโจทก์ทั้งสองขาดอายุความแล้วเพราะจำเลยทั้งสองได้ทำบัญชีแสดงรายการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จ่ายไปตั้งแต่เริ่มเป็นผู้อนุบาลจนถึงวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีที่โจทก์ทั้งสองกับพวกฟ้องเป็นคดีก่อน ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับว่าถูกต้อง โจทก์ทั้งสองไม่โต้แย้ง แต่โจทก์ทั้งสองกลับนำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนดการทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นเกี่ยวแก่อำนาจฟ้องของโจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องคัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมวินิจฉัยในคำพิพากษาคราวเดียวกันในวันนัดสืบพยานโจทก์ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริง คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับกันว่า คู่ความทั้งสองฝ่ายได้เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1119/2528 ของศาลชั้นต้น และรับว่าเหตุคดีนี้กับรายการทรัพย์ที่พิพาทตามฟ้องเป็นมูลกรณีที่เกิดขึ้นก่อนการตกลงประนีประนอมยอมความในคดีก่อน ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานของทั้งสองฝ่ายแล้วพิพากษาตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1119/2528 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ …เห็นว่าแม้คดีก่อนโจทก์ทั้งสองจะฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนจำเลยทั้งสองออกจากการเป็นผู้อนุบาลของนางสายใจก็ตามแต่มูลเหตุแห่งคำฟ้องเป็นมูลเหตุเดียวกันกับมูลเหตุของคดีนี้คือโจทก์ทั้งสองอ้างว่าจำเลยทั้งสองใช้จ่ายเงินจากกองทรัพย์สินของนางสายใจไปโดยไม่สุจริต ซึ่งคดีก่อนโจทก์ทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยทั้งสองและศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความจนคดีถึงที่สุดแล้วการที่โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสองใหม่เป็นคดีนี้เรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าจำเลยทั้งสองนำจากกองทรัพย์สินของนางสายใจไปใช้โดยไม่สุจริตคืนแม้โจทก์ทั้งสองจะอ้างในฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้ในฐานะผู้อนุบาลของนางสายใจคนละฐานะกับการฟ้องคดีก่อนก็ตามการฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสองแต่ละคดี โจทก์ทั้งสองเพียงแต่อ้างฐานะในการใช้สิทธิต่างกันเท่านั้นคือในคดีก่อนโจทก์ทั้งสองอ้างฐานะของความเป็นทายาทผู้มีส่วนได้เสียในกรณีที่กองทรัพย์สินของนางสายใจถูกจำเลยทั้งสองใช้จ่ายไปโดยไม่สุจริต ส่วนคดีนี้โจทก์ทั้งสองอ้างฐานะของความเป็นผู้อนุบาลของนางสายใจซึ่งเกิดจากคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลชั้นต้นในคดีก่อนเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินส่วนที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้อนุบาลของนางสายใจนำจากกองทรัพย์สินของนางสายใจไปใช้โดยไม่สุจริตคืน ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้ว่ากล่าวกันในคดีก่อนแล้ว การอ้างฐานะในการใช้สิทธิต่างกันของโจทก์ทั้งสองที่ทรงสิทธิเดียวกันเช่นนี้หาได้ทำให้ฐานะของการเป็นคู่ความของโจทก์ทั้งสองเปลี่ยนแปลงหรือต่างกันไปด้วยไม่ กล่าวคือโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ยังมีฐานะเป็นคู่ความฝ่ายโจทก์รายเดียวกันกับคู่ความฝ่ายโจทก์ในคดีก่อนดังนั้น เมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายของคดีนี้เป็นคู่ความรายเดียวกันกับคู่ความในคดีก่อนพิพาทกันในประเด็นเดียวกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วในคดีก่อน จึงห้ามมิให้โจทก์ทั้งสองในคดีนี้รื้อร้องฟ้องกันใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสองในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนนั้นชอบแล้ว กรณีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ทั้งสองในประเด็นอื่นอีกต่อไป ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน