คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1239/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขอให้โจทก์ค้ำประกันบุคคลผู้ส่งข้าวไปขายต่างประเทศต่อกระทรวงเศรษฐการ โดยจำเลยยอมรับผิดต่อโจทก์ ถ้าโจทก์ต้องเสียหายอย่างใด ๆ ในการค้ำประกันนั้น ดังนี้ ไม่ใช่เป็นสัญญาค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 แต่เป็นสัญญาธรรมดาระหว่างโจทก์ จำเลย เมื่อโจทก์ต้องชำระหนี้ค่าข้าวแทนบุคคลนั้นโดยสุจริต ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยใช้เงินนั้นได้โดยต้องใช้อายุความ 10 ปีตามมาตรา 164 ไม่ใช่ 5 ปีตามมาตรา 165

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขอให้โจทก์ค้ำประกันห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงไทยให้แก่กระทรวงเศรษฐการในการจัดสรรข้าวไปจำหน่ายต่างประเทศ ถ้าโจทก์เสียหายจำเลยยอมรับผิด ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงไทยค้างชำระค่าข้าวดังกล่าว ๑๒๖ ปอนด์ ๑๖ ชิลลิง กระทรวงเศรษฐการได้ทวงถามห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงไทย ๆ ไม่ชำระ โจทก์ต้องชำระให้กระทรวงเศรษฐการ ๗,๒๘๒.๐๘ บาท แล้วจำเลยไม่ชำระเงินให้โจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยใช้เงินดังกล่าว
จำเลยต่อสู้ว่า ได้บอกโจทก์แล้วว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงไทยไม่มีหนี้สินติดค้างกระทรวงเศรษฐการ โจทก์ละเลยไม่ยกขึ้นต่อสู้จึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยจากจำเลย และสิทธิเรียกร้องของกระทรวงเศรษฐการก็ขาดอายุความแล้ว
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยขอให้โจทก์ค้ำประกันห้างหุ้นส่วนจำกัดแสงไทยในการส่งข้าวออกนอกประเทศต่อกระทรวงเศรษฐการ เพื่อตอบแทนการที่โจทก์ลงนามในหนังสือค้ำประกันดังกล่าว เป็นเงิน ๑๙,๘๘๐ ปอนด์ จำเลยยอมรับผิดมิให้โจทก์ต้องเสียหายอย่างใดทั้งสิ้นนั้น มิใช่สัญญาค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๐ เป็นสัญญาธรรมดาระหว่างโจทก์กับจำเลยว่าถ้าโจทก์เสียหายในการค้ำประกันห้างหุ้นส่วนแสงไทย จำกัด อย่างใด ๆ จำเลยยอมรับผิดทั้งสิ้น จำเลยจึงจะยกบทกฎหมายเรื่องผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดมาใช้แก่โจทก์ไม่ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ไปโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕ แล้ว และในกรณีเช่นนี้ต้องใช่อายุความ ๑๐ ปีตามมาตรา ๑๖๔ ไม่ใช่ ๕ ปีตามมาตรา ๑๖๕ จำเลยต้องรับผิดใช้เงินโจทก์
พิพากษายืน

Share