คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติ ญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475มาตรา 10 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2475 มาตรา 3 ไม่ได้วางหลักเกณฑ์ ว่าโรงเรือนที่เจ้าของอยู่เอง เจ้าของจะต้องมีชื่อในทะเบียนด้วยจึงจะได้รับงดเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนตามกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โรงเรือนพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์อยู่เองแม้โจทก์จะไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน โจทก์ก็ย่อมได้รับงดเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือน จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีในฐานะผู้ชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ของโจทก์ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 แกล้งชี้ขาดและรับ ชำระภาษีไว้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมกับกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 2 คืนภาษีที่จำเลยที่ 2 รับชำระไว้ให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านที่อำเภอตะพานหินจังหวัดพิจิตร จึงไม่อาจมีภูมิลำเนาในทะเบียนบ้านเลขที่ 19/12 ซอยอารี 4 ถนนพหลโยธิน เขตพญาไทกรุงเทพมหานคร ของโจทก์ ซึ่งโจทก์ใช้เป็นที่พักอาศัยขณะที่มาติดต่อการค้าที่กรุงเทพมหานครได้อีกตามกฎหมาย โจทก์จึงให้บุตรโจทก์ซึ่งเป็นผู้แทนโจทก์ในการอยู่เฝ้ารักษาและศึกษาเล่าเรียนอยู่ในกรุงเทพมหานคร มีชื่อในทะเบียนบ้านหลังนั้น ต่อมาเจ้าพนักงานเก็บภาษีของจำเลยที่ 2 ได้แจ้งรายการประเมินไปให้โจทก์ชำระภาษีโรงเรือนสำหรับบ้านหลังนั้น ตั้งแต่ปี 2522 ถึงปี 2527 รวมเป็นเงิน 9,475 บาท โจทก์ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 1 ขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ จำเลยที่ 1 ชี้ขาดให้ยกคำร้องของโจทก์โจทก์จึงชำระภาษีโรงเรือนให้พนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยเงินเพิ่มตามกฎหมายรวมเป็นเงิน 10,422.50 บาท ขอให้เพิกถอนการประเมินและห้ามมิให้จำเลยทั้งสองแจ้งการประเมินภาษีโรงเรือนไปให้โจทก์ชำระภาษีอีก ตั้งแต่ปี 2528 เป็นต้นไป กับให้จำเลยทั้งสองคืนเงิน 10,422.50 บาทแก่โจทก์จำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์มิได้ใช้โรงเรือนตามฟ้องเป็นที่อยู่อาศัยตามปกติ แต่ใช้เป็นครั้งคราวเมื่อมาติดต่อการค้าที่กรุงเทพมหานครและให้บุตรอยู่อาศัยเพื่อการศึกษา โจทก์จึงไม่ได้รับยกเว้นภาษีโรงเรือนตามกฎหมายการประเมินและคำชี้ขาดชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนรายการประเมินภาษีโรงเรือนตามใบแจ้งการประเมินตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 ถึงปี พ.ศ. 2527 กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินภาษีและเงินเพิ่ม 10,422.50 บาทแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาว่า โจทก์มีชื่อในทะเบียนบ้านเลขที่ 31-35 ตำบลตะพานหินอำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร แม้โจทก์จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โรงเรือนพิพาทโจทก์ก็ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้านหลังนั้น โจทก์จึงไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 10 ที่แก้ไขแล้วนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วพระราชบัญญัติ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 10แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2475 มาตรา 3 บัญญัติว่า “โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ซึ่งเจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา และซึ่งมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรม ท่านให้งดเว้นจากบทบัญญัติแห่งภาคนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นไป” ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่กล่าวนี้ไม่ได้วางหลักเกณฑ์ว่าโรงเรือนที่เจ้าของอยู่เอง เจ้าของจะต้องมีชื่อในทะเบียนบ้านด้วยจึงจะได้รับงดเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนตามกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่า โรงเรือนพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์อยู่เอง แม้โจทก์จะไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน โจทก์ก็ย่อมได้รับงดเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือน ตามบทบัญญัติของกฎหมายข้างต้น ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 คืนเงินให้โจทก์ด้วยหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ในฐานะผู้ชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ของโจทก์ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1แกล้งชี้ขาดและรับชำระภาษีในคดีนี้ไว้แต่ประการใด จึงไม่มีเหตุที่จะให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 คืนภาษีที่จำเลยที่ 2 รับชำระไว้ให้โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 คืนเงินค่าภาษีให้โจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ฟ้องโจทก์สำหรับคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ในส่วนที่ให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 คืนเงินค่าภาษีให้โจทก์นั้นให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share