คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 568/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยปกปิดความจริงที่ตนไปร่วมกระทำผิดฆ่ากระบือโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานกับนายป้อมและนายพรมมาเสียมิได้ให้การชั้นที่เจ้าพนักงานสอบสวนสอบสวน จำเลยเป็นพยานว่าจำเลยไปร่วมกระทำผิดเป็นแต่ยืนยันว่าจำเลยได้ไปเห็นนายป้อมและนายพรมมาสมคบกันฆ่ากระบือ 2 คนเท่านั้น เช่นนี้ยังไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จเพราะจำเลยอยู่ในฐานะที่จะตกเป็นจำเลยหรือผู้ต้องหาด้วยย่อมมีสิทธิที่จะปกปิดเรื่องนั้นไว้หรือมีสิทธิที่จะไม่ต้องเบิกความปรักปรำตนเองให้ตกเป็นจำเลยหรือผู้ต้องหาได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเดิมจำเลยกับนายป้อมและนายพรมมาสมคบกันฆ่ากระบือ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ต่อมาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2498เวลากลางวันจำเลยได้นำความไปแจ้งต่อนายนาคศรีสว่างวงษ์ พนักงานสอบสวนอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ว่า “จำเลยผู้เดียวเดินไปที่ไร่ ได้เห็นนายป้อม นายพรมมา ฆ่ากระบือริมน้ำปาวจึงได้นำความไปแจ้งต่อนายขุน ปรีดี ผู้ใหญ่บ้านให้จับกุมนายป้อม นายพรมมาเป็นผู้ต้องหา” ความจริงจำเลยเป็นผู้สมคบกับนายป้อม นายพรมมาฆ่ากระบือ หาใช่ไปกระทำผิดเพียง 2 คนไม่ เป็นการทำให้นายนาคศรีสว่างวงษ์ และนายป้อม นายพรมมา เสียหาย จึงขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2477 (ฉบับที่ 3) มาตรา 3

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาพิพากษาว่าที่จำเลยแจ้งนั้นก็เป็นความจริง เพราะนายป้อมและนายพรมมาก็ฆ่าโคจริง แต่การที่จำเลยไม่กล่าวว่าตนได้ไปร่วมทำผิดกับนายป้อมและนายพรมมาด้วย เป็นการแจ้งเพื่อปลีกตัวจำเลยเองให้พ้นผิด จำเลยซึ่งมีฐานะจะต้องตกเป็นผู้ต้องหามีสิทธิที่จะทำได้ บุคคลไม่จำเป็นต้องแจ้งข้อความอันจะเป็นการปรักปรำตนให้ได้รับโทษหรือตกเป็นผู้ต้องหา จึงพิพากษาให้ยกฟ้องยืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

Share