แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายลดแก่โจทก์ในนามจำเลยที่ 1 โดยไม่ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ในสัญญาขายลดตั๋วเงิน มีจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันไว้ด้วยจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์ตามสัญญาแล้ว และเมื่อครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 1ใช้เงินแก่โจทก์บางส่วน ดังนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 2 ลงชื่อในสัญญาขายลดตั๋วเงินดังกล่าวในฐานะกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องผูกพันตามสัญญานั้น จำเลยที่ 3 ผู้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ ๑ นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายลดแก่โจทก์ โดยมีจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระเงิน จำเลยที่ ๑ ชำระเงินให้โจทก์บางส่วนยังค้างอยู่อีก ๑๓,๙๘๗.๙๑ บาท ขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินให้โจทก์ ๑๘,๘๕๘ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ให้การว่าสัญญาขายลดตั๋วเงินตามฟ้องของโจทก์ไม่ใช่สัญญาของจำเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นนิติบุคคลซึ่งได้จดทะเบียนไว้แล้วว่าจะต้องมีตราสำคัญของจำเลยที่ ๑ ประทับ จึงจะผูกพันจำเลยที่ ๑ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์ ๑๓,๙๘๗.๙๑บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปีนับแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ ๒ นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายลดแก่โจทก์ในนามของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำสัญญาค้ำประกันไว้ด้วยเมื่อครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ ๑ ใช้เงินแก่โจทก์บางส่วน เห็นว่า แม้สัญญาตามเอกสารหมาย จ.๔ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ลงชื่อโดยไม่ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่๑ รับเงินไปจากโจทก์ตามสัญญา เมื่อครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ ๑ ก็ใช้เงินแก่โจทก์บางส่วนแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ ๒ ลงชื่อในสัญญาดังกล่าวในฐานะกระทำการแทนจำเลยที่ ๑จำเลยที่ ๑ จึงต้องผูกพันและรับผิดตามสัญญาหมาย จ.๔ จำเลยที่๓ ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน