คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานตำรวจเข้าทำการจับกุมจำเลยหลังจากจำเลยได้ทำการขายเสร็จขาดตอนไปแล้ว ค้นได้เฮโรอีนที่จำเลยยังมีเพื่อขายอยู่กับตัวอีก ดังนั้น การขาย จำหน่ายหรือจ่ายแจกยาเสพติดให้โทษกับการมียาเสพติดให้โทษไว้เพื่อขายจำหน่ายหรือจ่ายแจก ของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันจำเลยจึงต้องมีความผิดฐานมีไว้เพื่อขายอีกกระทงหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดต้องห้ามตามกฎหมายโดยเด็ดขาดไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายขายแก่ประชาชน 24 หลอด หนัก 0.89 กรัม และจำเลยได้จำหน่ายขายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ดังกล่าว จำนวน 2 หลอด ให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจแต่งกายนอกเครื่องแบบโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ที่เหลือจากการขาย 22 หลอด กับที่ขายไปแล้ว 2 หลอดก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดลงโทษจำคุกฐานลักทรัพย์มีกำหนด1 ปี ภายใน 5 ปีนับแต่วันพ้นโทษดังกล่าว จำเลยกลับมากระทำผิดคดีนี้อีกขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฯลฯ

จำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษมาจริงตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายเฮโรอีนนั้น เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2465 มาตรา 20 ทวิ วรรคท้าย ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 4 มาตรา 6 ลงโทษจำคุก 5 ปี เพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 92 อีก 1 ใน 3 เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน ลดรับสารภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงให้จำคุกไว้มีกำหนด 3 ปี 4 เดือน

โจทก์อุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 2 กรรม

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจเข้ทำการจับกุมจำเลยหลังจากจำเลยได้ทำการขายเสร็จเด็ดขาดตอนแล้ว ค้นได้เฮโรอีนที่จำเลยยังมีเพื่อขายอยู่กับตัวอีก ดังนั้นการขาย จำหน่าย หรือจ่ายแจกยาเสพติดให้โทษ กับการมียาเสพติดให้โทษไว้เพื่อขาย จำหน่าย หรือจ่ายแจกของจำเลย จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานมีไว้เพื่อขายอีกกระทงหนึ่ง

พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกกระทงหนึ่ง และมีความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษเฮโรอีนอีกกระทงหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2465 มาตรา 20 ทวิ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 6 เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวมโทษจำคุก 10 ปี เพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 อีก 1 ใน 3 เป็นโทษจำคุก 13 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ปรานีลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงให้จำคุก จำเลยไว้มีกำหนด 6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share