แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อตกลงในวิธีการชำระราคา+ข้อตกลงให้กรรมสิทธิในทรัพย์ที่ซื้อขายให้โอนไปเมื่อใดนั้น ไม่ใช่ข้อตกลงพิเศษนอกเหนือสัญญาและไม่มีข้อกฎหมายบังคับว่า ข้อตกลงเช่นนี้จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ข้อตกลงเช่นว่านั้นมีผลใช้บังคับได้ ดังนั้นเมื่อบุคคลอื่นได้ทรัพย์นี้ไปและทรัพย์นั้นได้มาระหว่างกันเป็นทอด ๆ ไม่ใช่ในท้องตลาด แม้จะได้มาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนก็ตาม ก็หาได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1320 และ 1332 ไม่
โจทก์จำเลยตกลงกันให้โจทก์กู้เงินจากคนภายนอกมาซื้อโต๊ะบิลเลียดและเครื่องอุปกรณ์มอบให้จำเลยไปแล้วให้จำเลยรับชำระหนี้เงินกู้แก่บุคคลภายนอกแทนโจทก์ จำเลยรับชำระหนี้เงินกู้แก่บุคคลภายนอกแทนโจทก์ จำเลยชำระหนี้เสร็จและได้รับสัญญากู้คืนมาเมื่อใดให้โต๊ะบิลเลียดตกเป็นกรรมสิทธิแก่จำเลย เมื่อจำเลยผ่อนส่งตต้นเงินแทนโจทก์ไปบ้างแล้วคงค้างอีก 6,000 บาท จำเลยจะอ้างว่าราคาโต๊ะอีก 6,000 บาทที่ค้างนี้ได้แปลงเป็นหนี้เงินกู้แล้วไม่ได้เพราะหนี้เงินกู้นั้นเป็นหนี้ที่โจทก์กู้มาแต่แรก ซึ่งจำเลยเพียงแต่รับปากว่าจะชำระแทนโจทก์เท่านั้นหาใช่ว่าได้แปลงหนี้ค่าโต๊ะบิลเลียดกับเครื่องอุปกรณ์มาเป็นสัญญากู้ยืมเงินให้จำเลยต้องรับผิดต้องชำระเงินกู้นั้นไม่ กรรมสิทธิในโต๊ะยังอยู่กับโจทก์ ๆ มีสิทธิติดตามเอาคืนมาได้ตาม ป.พ.พ.ม.1336
ย่อยาว
คดีนี้ ชั้นแรก โจทก์ฟ้องนายบุญส่งกับนางแนบโดยกล่าวว่า โจทก์กัลนายแดงตกลงซื้อขายโต๊ะบิลเลียดของโจทก์เป็นราคา ๑๐,๐๐๐ บาทโดยวิธีผ่อนส่งและให้โจทก์ทำสัญญากู้เงินนางถนอมมา ๑๐,๐๐๐ บาท โดยเอาโต๊ะบิลเลียดเป็นประกัน แต่ให้นายแดงรับใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยแทนโจทก์ทั้งสิ้น เมื่อนายแดงชำระต้นเงินดอกเบี้ยเสร็จได้รับสัญญากู้คืนมาเมื่อใด โต๊ะบิลเลียดจึงตกเป็นกรรมสิทธิของนายแดงเด็ดขาด นายแดงผ่อนส่งค้นเงินแทนโจทก์ได้ ๔,๐๐๐ บาทกับดอกเบี้ยถึงสิ้นปี ๒๔๙๒ แล้วไม่ส่งอีกแล้วขายโต๊ะบิลเลียดเป็นของโจทก์ อย่าให้จำเลยขัดขวางในการที่โจทก์จะขนเอามามิฉะนั้นให้จำเลยชำระราคาที่ค้าง ๖,๐๐๐ บาท แทนนายแดง
นายบุญส่งจำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่ารับซื้อโต๊ะรายนี้จากจำเลยที่ ๒ ในตลาดเปิดเผยโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน จากโจทก์จะรับคืนก็ต้องชำระราคาให้จำเลยที่ ๑ อย่างน้อย ๑๐,๐๐๐ บาท
นางแนบจำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่าโต๊ะตามฟ้องโจทก์ได้ขายให้นายแดงไปแล้วและจำเลยได้ซื้อจากนายแดงโดยสุจริตและเปิดเผยทั้งได้ชำระเงินแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิด
เมื่อจำเลยทั้งสองให้การแล้วศาลให้เรียกนายแดงเข้ามาในคดีตามโจทก์ขอ
นายแดงจำเลยที่ ๓ ต่อสู้ว่า โจทก์ขายโต๊ะนี้ให้จำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทจำเลยที่ ๓ ได้ชำระแล้ว ๔,๐๐๐ บาท ส่วนที่ค้างได้แปลงเป็นเงินกู้ ซึ่งถือได้ว่าจำเลยได้ชำระราคาให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว กรรมสิทธิในทรัพย์รายนี้ จึงได้โอนไปยังจำเลยที่ ๓ ตั้งแต่ขณะที่ได้ทำสัญญาซื้อขายกัน
ศาลแพ่งฟังว่านายแดงจำเลยที่ ๓ เพียงได้ตกลงมีสัญญาจะซื้อขายโต๊ะบิลเลียดกับโจทก์ กรรมสิทธิในโต๊ะยังไม่โอนมาเป็นของจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๓ ยังค้างชำระราคาอยู่อีก ๖,๐๐๐ บาท ส่วนจำเลยที่ ๒ ซื้อโต๊ะรายนี้จากจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ซื้อจากจำเลยที่ ๒ อีกต่อหนึ่งโดยมีค่าตอบแทนและสุจริตสิทธิของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงไม่เสียไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๗๒๙ และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่จำต้องคืนโต๊ะรายนี้ให้โจทก์เว้นแต่โจทก์จะชดใช้ราคาที่ซื้อมาตามมาตรา ๑๓๓๒
พิพากษาให้นายแดงจำเลยที่ ๓ ใช้เงิน ๖,๐๐๐ บาท พร้อมค่าธรรมเนียมและค่าทนายให้โจทก์ ถ้าโจทก์ไม่ประสงค์จะบังคับจำเลยที่ ๓ โดยจะเอาโต๊ะบิลเลียดคืนจากนายบุญส่งจำเลยที่ ๑ ก็ต้อขอชดใช้ราคาที่นายบุญส่งซื้อมา ๑,๕๐๐ บาท ส่วนนางแนบจำเลยที่ ๒ ไม่ได้เกี่ยวข้องครอบครองโต๊ะนี้จะบังคับมิได้
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ เป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาดจริง และข้อตกลงในวิธีการชำระราคาและข้อตกลงให้กรรมสิทธิโอนไปเมื่อใดซึ่งจำเลยที่ ๑ ฎีกาอ้างว่าเป็นข้อตกลงพิเศษนอกเหนือสัญญาจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้นเห็นว่าไม่ใช่ข้อตกลงพิเศษนอกเหนือสัญญา และไม่มีกฎหมายบังคับว่าข้อตกลงเช่นนี้จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใด ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่าราคาโต๊ะที่ค้างอีก ๖,๐๐๐ บาท ได้แปลงเป็นหนี้เงินกู้แล้วนั้นก็ไม่ถูกต้องตามความจริง เพราะหนี้เงินกู้นั้นเป็นหนี้ที่โจทก์กู้ยืมนางถนอมมาแต่แรกและโจทก์ ก็บังคับต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมนั้นอยู่หาใช่ว่าได้แปลงหนี้ค่าโต๊ะกับเครื่องอุปกรณ์มาเป็นสัญญากู้ยืมเงินให้จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้นั้นไม่เพียงแต่จำเลยที่ ๓ รับปากจะใช้หนี้เงินกู้แทนโจทก์เท่านั้นไม่เป็นหลักฐานให้ถือเป็นการที่จำเลยที่ ๓ ได้ชำระหนี้ค่าโต๊ะกับเครื่องอุปกรณ์รายพิพาทเสร็จสิ้นแล้ว โต๊ะบิลเลียดกับเครื่องอุปกรณ์ยังคงเป็นกรรมสิทธิของโจทก์อยู่ โจทก์มีสิทธิติดตามและเอาคืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๓๖ และปรากฎว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ซื้อมาจากจำเลยที่ ๓ แล้วจำเลยที่ ๑ ได้ซื้อไว้จากจำเลยที่ ๒ อีกต่อหนึ่ง หาใช่ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ซื้อทรัพย์พิพาทในท้องตลาดดั่งข้อต่อสู้ไม่ กรณณีต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๑๓๓๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อจำเลยที่ ๓ ผิดสัญญาต่อโจทก์ ๆ ก็มีสิทธิติดตามและเอาคืนได้ตามมาตรา ๑๓๓๖ ที่ศาลแพ่งวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ มีสิทธิ
ตามมาตรา ๑๓๒๙ ด้วยนั้น หาต้องด้วยรูปคดีไม่ ที่ศาลแพ่งพิพากษาให้โจทก์ชดใช้ราคาทรัพย์พิพาทแก่จำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑,๕๐๐ บาท และโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาเป็นผลดีแก่จำเลยที่ ๑ อยู่แล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยที่