แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิม อ. และ พ. เป็นหนี้โจทก์ตามเช็คและสัญญากู้ยืมเงินการที่จำเลยทั้งสองยอมรับผิดในหนี้ดังกล่าวโดยทำเป็นสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ จำเลยทั้งสองต้องผูกพันรับผิดตามสัญญากู้ยืมต่อโจทก์ จะอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้เพื่อปฏิเสธไม่ยอมรับผิดตามสัญญากู้ไม่ได้
เดิมศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภรรยา โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทข้ออื่นแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ จำเลยฎีกา แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับเพราะจำเลยไม่เสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ชั้นฎีกา ถือได้ว่าจำเลยไม่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ ประเด็นดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จำเลยไม่อาจฎีกาในข้อนี้อีกได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน ๔๕๖,๗๕๐บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่านางอำไพ และนายพิศาลเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินและเช็ค โจทก์ได้ขู่เข็ญจำเลยทั้งสองให้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องซึ่งเป็นการรับชำระหนี้ดังกล่าวทั้งหมดของนางอำไพและนายพิศาล มิฉะนั้นโจทก์จะดำเนินคดีนางอำไพและนายพิศาล จำเลยทั้งสองจึงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องกับโจทก์ และได้ให้นางอำไพผ่อนชำระหนี้มาทุกเดือน ทั้งจำเลยที่ ๒ ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ไปแล้วบางส่วนจึงเหลือหนี้ไม่ถึงตามที่ระบุในฟ้อง และโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภรรยาไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๔๕๖,๗๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน๔๒๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์เป็นหนังสือตามที่โจทก์ฟ้อง ปัญหาวินิจฉัยมีว่าจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามสัญญากู้ดังกล่าว หรือไม่เพียงใด ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์เบิกความว่ายอดเงินกู้ตามสัญญากู้เงินที่โจทก์ฟ้องจำนวน ๔๒๐,๐๐๐ บาทนั้น เป็นหนี้ที่เกิดจากการที่นางอำไพและนายพิศาลกู้เงินโจทก์ และเป็นหนี้ที่เกิดจากการที่นางอำไพนำเช็คที่นางอำไพเป็นผู้สั่งจ่ายไปแลกเงินสดจากโจทก์ตามที่โจทก์นำสืบรวมเป็นเงิน ๓๙๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยของเงินจำนวน ๓๙๐,๐๐๐ บาท ที่ค้างชำระเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยทั้งสองยอมรับผิดชดใช้ให้โจทก์ จึงต้องฟังว่าผู้กู้และรับเงินไปตามสัญญากู้คือนางอำไพและนายพิศาล จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามสัญญากู้ หากจะฟังว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดตามสัญญากู้ก็รับผิดเพียงจำนวน ๓๙๐,๐๐๐ บาทศาลฎีกาเห็นว่าเดิมนางอำไพและนายพิศาลเป็นหนี้เงินกู้โจทก์และนางอำไพเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คที่นางอำไพนำไปแลกเงินสดจากโจทก์ การที่จำเลยทั้งสองยอมรับผิดในหนี้ที่นางอำไพและนายพิศาลมีต่อโจทก์และทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้อง เป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้โดยทำเป็นสัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองมีความผูกพันต้องรับผิดใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ตามสัญญากู้ จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญากู้ไม่ได้ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยที่ ๒ ได้ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์แล้วเป็นเงิน ๑๖,๘๐๐ บาท จำเลยทั้งสองไม่ได้ค้างชำระดอกเบี้ยเป็นเงิน ๓๖,๗๕๐ บาท ตามฟ้องนั้นก็คงมีเฉพาะตัวจำเลยทั้งสองเบิกความ โดยไม่มีอะไรเป็นหลักฐาน ไม่อาจรับฟังได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมของภริยา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเดิมศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริยา โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทข้ออื่นแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ จำเลยฎีกา แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับเนื่องจากจำเลยไม่เสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ในชั้นฎีกา ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้ประเด็นในข้อนี้จึงเป็นอันยุติดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จำเลยทั้งสองไม่อาจฎีกาในข้อนี้อีกได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.