คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12333/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ น. เป็นผู้เรียงและเขียนฎีกาของจำเลย ซึ่งต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ.2528 มาตรา 33 ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนและรับใบอนุญาต หรือผู้ซึ่งขาดจากการเป็นทนายความ หรือต้องห้ามทำการเป็นทนายความว่าความในศาล หรือแต่งฟ้อง คำให้การ ฟ้องอุทธรณ์ แก้อุทธรณ์ ฟ้องฎีกา แก้ฎีกา คำร้อง หรือ คำแถลงอันเกี่ยวแก่การพิจารณาคดีในศาลให้แก่บุคคลอื่น ทั้งนี้เว้นแต่จะได้กระทำในฐานะเป็นข้าราชการผู้ปฏิบัติการตามหน้าที่หรือเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ องค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ผู้ปฏิบัติการตามหน้าที่หรือมีอำนาจหน้าที่กระทำได้โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความหรือกฎหมายอื่น” ก็ตาม แต่เมื่อคดีนี้มาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วและปัญหาว่าการเพิ่มโทษจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ตามที่จำเลยฎีกา เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยให้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ข้อเท็จจริงปรากฏว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 133/2554 ของศาลชั้นต้น ที่โจทก์อ้างเป็นเหตุให้เพิ่มโทษจำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง และโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี จำเลยจึงมิใช่ผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ลงโทษจำคุกตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 กรณีจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 97, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91 เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามกฎหมาย นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ลม. 3/2555 ของศาลชั้นต้น ริบเมทแอมเฟตามีนและกระเป๋าสตางค์ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและนับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 1 ปี ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 7 ปี และปรับ 400,000 บาท รวมจำคุก 8 ปี และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 กึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 12 ปี และปรับ 600,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 ปี และปรับ 300,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ลม. 3/2555 ของศาลชั้นต้น ริบเมทแอมเฟตามีนและกระเป๋าสตางค์ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติด พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนให้จำคุก 6 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายให้จำคุก 6 ปี เพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 กระทงละกึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 9 ปี 9 เดือน ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 ปี 10 เดือน 15 วัน เมื่อรวมกับโทษปรับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 4 ปี 10 เดือน 15 วัน และปรับ 300,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้นักโทษชายนพรัตน์ เป็นผู้เรียงและผู้เขียนฎีกาของจำเลย ซึ่งต้องห้ามตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528 มาตรา 33 ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนและรับใบอนุญาต หรือผู้ซึ่งขาดจากการเป็นทนายความหรือต้องห้ามทำการเป็นทนายความว่าความในศาล หรือแต่งฟ้อง คำให้การ ฟ้องอุทธรณ์ แก้อุทธรณ์ ฟ้องฎีกา แก้ฎีกา คำร้อง หรือคำแถลงอันเกี่ยวแก่การพิจารณาคดีในศาลให้แก่บุคคลอื่น ทั้งนี้เว้นแต่จะได้กระทำในฐานะเป็นข้าราชการผู้ปฏิบัติการตามหน้าที่หรือเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ องค์การของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ผู้ปฏิบัติการตามหน้าที่หรือมีอำนาจหน้าที่กระทำได้โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความหรือกฎหมายอื่น” ก็ตาม แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วและปัญหาว่าการเพิ่มโทษจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ตามที่จำเลยฎีกา เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยให้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 ข้อเท็จจริงปรากฏว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 133/2554 ของศาลชั้นต้น ที่โจทก์อ้างเป็นเหตุให้เพิ่มโทษจำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง และโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี จำเลยจึงมิใช่ผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 กรณีจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 ได้ แต่เมื่อได้ความว่า ภายในระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 133/2554 ของศาลชั้นต้น จำเลยกระทำความผิดคดีนี้อีกอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย จึงต้องนำโทษจำคุกในคดีดังกล่าวมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพิ่มโทษจำเลยกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี และปรับ 400,000 บาท รวมจำคุก 6 ปี 6 เดือน และปรับ 400,000 บาท ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 3 เดือน และปรับ 200,000 บาท บวกโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 133/2554 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ เป็นจำคุก 3 ปี 15 เดือน และปรับ 200,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share