แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องทั้งสี่ใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลฯ มาตรา 57เพื่อขอให้เปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลซึ่งมาตรา 58 วรรคหนึ่ง กำหนดให้ศาลดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยเร็ว โดยให้เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการเลือกตั้งหรือผู้ได้รับเลือกตั้งที่มีส่วนได้เสียมีโอกาสต่อสู้คัดค้าน และเมื่อศาลสั่งอย่างใดแล้วให้แจ้งคำสั่งไปยังเทศบาลโดยมิชักช้า คำสั่งศาลนั้นให้เป็นที่สุด ดังนั้นเมื่อผู้คัดค้านทั้งแปดผู้ได้รับเลือกตั้งยื่นคำคัดค้านแล้วว่าตนได้รับการเลือกตั้งมาโดยชอบและต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ส่วนผู้คัดค้านที่ 4และที่ 5 ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ถือได้ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามความหมายของมาตรา 58 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นได้แจ้งคำสั่งไปยังเทศบาลแล้วคำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมเป็นที่สุดทุกกรณีคู่ความไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมายฉะนั้น การที่ผู้คัดค้านทั้งแปดอุทธรณ์ในข้อกฎหมายว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 เนื่องจากมิได้วินิจฉัยว่าคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่เคลือบคลุมหรือไม่ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 รับและวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งแปดจึงเป็นการไม่ชอบ และเมื่อฎีกาของผู้คัดค้านทั้งแปดต้องห้ามแล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาดังกล่าวไว้จึงไม่ชอบเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสี่เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลชะอวด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับหมายเลขประจำตัวผู้สมัคร 25, 39, 3, 21ตามลำดับ ในการดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลดังกล่าวเทศบาลตำบลชะอวดได้ประกาศแต่งตั้งเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง กรรมการตรวจคะแนนและเจ้าหน้าที่คะแนน หลังจากปิดการลงคะแนนแล้ว คณะกรรมการตรวจคะแนนและเจ้าหน้าที่คะแนนประจำหน่วยเลือกตั้งได้รวมคะแนนแล้ว ผู้ร้องที่ 1 ได้คะแนนเป็นอันดับที่ 16 รวม 534 คะแนน ผู้ร้องที่ 2 ได้คะแนนเป็นอันดับที่ 13รวม 565 คะแนน ผู้ร้องที่ 3 ได้คะแนนเป็นอันดับที่ 13 รวม 565คะแนน ผู้ร้องที่ 4 ได้คะแนนเป็นอันดับที่ 18 รวม 465 คะแนนซึ่งมีคะแนนน้อยกว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งหมายเลข 6 ซึ่งได้คะแนนเป็นอันดับที่ 12 รวม 35, 4, 4, 104 คะแนน ตามลำดับ การที่เทศบาลตำบลชะอวดประกาศให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลหมายเลขประจำตัว 20, 7, 4, 1, 27, 10, 30, 2, 8, 24, 5, 6,ลำดับที่ 1 ถึงที่ 12 เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งคณะกรรมการตรวจคะแนนและเจ้าหน้าที่คะแนนทั้ง 3 หน่วยเลือกตั้งมิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพ.ศ. 2482 และกฎกระทรวงมหาดไทย อันทำให้การเลือกตั้ง การนับคะแนนและการประกาศผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบโดยอ่านบัตรเลือกตั้งให้ผิดไปจากความเป็นจริง อ่านบัตรเลือกตั้งที่ผู้เลือกตั้งลงคะแนนให้ผู้ร้องทั้งสี่ให้เป็นบัตรเสีย ไม่นับคะแนนโดยเปิดเผยโดยปิดประตูที่ทำการหน่วยเลือกตั้งที่ 1 เพื่อนับคะแนนโดยมิให้ประชาชนหรือตัวแทนของผู้สมัครรับเลือกตั้งเข้าไปสังเกตการณ์หรือตรวจสอบดูแลขณะนับคะแนน ทำให้คะแนนของผู้ร้องทั้งสี่ขาดหายไป เป็นผลให้ผู้ร้องทั้งสี่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ขอให้มีคำสั่งเปิดหีบบัตรเลือกตั้งเพื่อนับคะแนนใหม่ทั้ง 3 หน่วยเลือกตั้งให้ผู้ร้องทั้งสี่เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งโดยชอบ ให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลชะอวดเป็นโมฆะ และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลชะอวดใหม่
ผู้คัดค้านทั้งแปดคัดค้านว่า ผู้คัดค้านทั้งแปดได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลชะอวดโดยชอบ การเลือกตั้งทุกหน่วยเลือกตั้งทำไปด้วยความถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบ เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง กรรมการตรวจคะแนนและเจ้าหน้าที่คะแนนทุกคนในทุกหน่วยเลือกตั้งปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้องชอบด้วยกฎหมายและระเบียบ มิได้ปฏิบัติหรือมีพฤติการณ์ตามที่ผู้ร้องทั้งสี่กล่าวอ้างแต่อย่างใดคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่เป็นคำร้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งส่วนผู้คัดค้านที่ 4 และที่ 5 ไม่ได้รับการเลือกตั้ง บุคคลผู้ได้รับการเลือกตั้ง10 รายที่เหลือให้เป็นไปตามประกาศเทศบาลตำบลชะอวด ทั้งนี้การเรียงลำดับคะแนนให้เป็นไปตามผลที่วินิจฉัยไว้ข้างต้น ยกคำขออื่นของผู้ร้องทั้งสี่
ผู้คัดค้านทั้งแปดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
ผู้คัดค้านทั้งแปดฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นที่สุดแล้วหรือไม่ คดีนี้ผู้ร้องทั้งสี่เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลชะอวด ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งของเทศบาลตำบลชะอวดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน2542 ว่า การเลือกตั้งในเขตเทศบาลตำบลชะอวดดังกล่าวเป็นไปโดยมิชอบ เป็นผลให้ผู้ร้องทั้งสี่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้งสี่เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งโดยชอบ เห็นว่า ผู้ร้องทั้งสี่ใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพ.ศ. 2482 มาตรา 57 เพื่อขอให้เปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล ซึ่งมาตรา 58 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อศาลได้รับคำร้องคัดค้านแล้ว ให้ดำเนินการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเร็วโดยให้เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการเลือกตั้งหรือผู้ได้รับเลือกตั้งที่มีส่วนได้เสียมีโอกาสต่อสู้การคัดค้านนั้น เมื่อศาลสั่งอย่างใดให้แจ้งคำสั่งไปยังเทศบาลโดยมิชักช้า คำสั่งศาลนั้นให้เป็นที่สุด” ซึ่งผู้คัดค้านทั้งแปดเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งได้ยื่นคำคัดค้านแล้วว่า ผู้คัดค้านทั้งแปดได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลชะอวดโดยชอบ คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง ส่วนผู้คัดค้านที่ 4 และที่ 5 ไม่ได้รับการเลือกตั้ง บุคคลผู้ได้รับการเลือกตั้ง 10 รายที่เหลือให้เป็นไปตามประกาศเทศบาลตำบลชะอวดฉบับลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2542 ทั้งนี้การเรียงลำดับคะแนนให้เป็นไปตามผลที่วินิจฉัยไว้ข้างต้นถือได้ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามความหมายของมาตรา 58 วรรคหนึ่งแล้ว และเมื่อได้ความว่าศาลชั้นต้นได้แจ้งคำสั่งศาลไปยังเทศบาลตำบลชะอวดแล้วเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2543 คำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นย่อมเป็นที่สุดทุกกรณี คู่ความไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ไม่ว่าจะเป็นอุทธรณ์หรือฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมาย ดังนั้น ที่ผู้คัดค้านทั้งแปดอุทธรณ์ในข้อกฎหมายอ้างว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 เนื่องจากมิได้วินิจฉัยในข้อที่ว่าคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่เคลือบคลุมหรือไม่ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8ให้รับอุทธรณ์และวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งแปดจึงเป็นการไม่ชอบและเมื่อฎีกาของผู้คัดค้านทั้งแปดต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของผู้คัดค้านทั้งแปดจึงเป็นการไม่ชอบเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 และยกฎีกาของผู้คัดค้านทั้งแปดให้บังคับคดีไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น