แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ปรับ 2,000 บาทแต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลยสถานเดียว แต่ไม่รอการลงโทษ จึงเป็นการแก้ไขมาก จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ไม้ทุกชิ้นที่สร้างเรือนแพของจำเลยไม่ได้ไสกบเลย พื้นเรือนตีตะปูยึดกับตงไว้ที่หัวและท้ายเพียงบางแผ่นตงก็ใช้ไม้ขนาดเดียวกับไม้พื้น ชานเรือนใช้ไม้ปูซ้อนล้ำกันถึง 1 วา ฝากั้นห้องไม่เสมอกันและปล่อยยื่นออกมานอกเสา การตั้งวงกบประตูหน้าต่างก็เพียงแต่ตีชนกันไว้ ไม่ได้เข้าไม้ให้แน่นหนา หัวเสาที่รับอะเสไม่ได้บากหรือหยักหัวเสาให้รับกัน มีแต่ตะปูตีไว้ไม่มั่นคงแข็งแรง ลูกบวบที่รองรับเรือนแพก็ผูกไว้ไม่แน่นหนาสมกับจะเป็นที่อยู่อาศัย ดังนี้ ถือได้ว่าเป็น ไม้แปรรูปที่ทำขึ้นเพียงให้เป็นรูปเรือนแพเพื่อพรางหรือลวงโดยเจตนาหลีกเลี่ยงกฎหมาย และเพื่อสะดวกแก่การขนย้ายหาใช่เป็นไม้ที่อยู่ในสภาพของสิ่งปลูกสร้างตาม ความหมายแห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 4 ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีไม้สักแปรรูป 18 เหลี่ยม กับ 135 แผ่น รวมเป็นเนื้อไม้ 8.83 ลูกบาศก์เมตร ไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ โดยมิได้รับอนุญาต โดยจำเลยทำพรางให้มีลักษณะคล้ายเรือนแพหนึ่งหลัง ทำไว้เป็นการชั่วคราว ยังไม่สำเร็จรูปไม่สามารถอยู่อาศัยตามปกติได้ มิได้เจตนาทำไว้เพื่ออยู่อาศัยโดยแท้จริง แต่ทำพรางไว้เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายและมิใช่ไม้ที่อยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างหรืออยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้ ทั้งไม่เคยอยู่ในสภาพเช่นนั้นมาแล้ว เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยไม้สักแปรรูปดังกล่าว สังกะสีและไม้ไผ่ทำเป็นแพลูกบวบ 8 ลูกบวบ ๆ ละ 120 ลำ ซึ่งจำเลยใช้ในการกระทำผิด และใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 7, 48, 73, 74, 74 ทวิ; (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 มาตรา 5, 17, 18 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เรือนแพของกลางไม่อยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างยังเป็นไม้แปรรูป จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นความผิด ส่วนสังกะสีที่ใช้มุงหลังคาเรือนแพของกลางและลูกบวบไม้ไผ่ที่รับรองเรือนแพนั้น ไม่ใช่อุปกรณ์ในการกระทำผิด ไม่ควรริบ พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 48, 73, 74; (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 5, 17 ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 2,000 บาท รอโทษจำคุกไว้ 2 ปี ริบไม้ของกลางและยกคำขออื่น
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนัก ไม่ควรรอการลงโทษและให้ลงโทษปรับสูงขึ้น
จำเลยอุทธรณ์ว่า เรือนแพของกลางมีสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างถาวร ไม่ใช่ไม้แปรรูป
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า เรือนแพของกลางเป็นไม้แปรรูป ไม้มีจำนวนมากและได้กระทำเป็นรูปเรือนแพเพื่อลวงหรือพรางโดยเจตนาจะหลีกเลี่ยงกฎหมาย เพื่อหวังประโยชน์ตน มิได้คำนึงถึงความเสียหายแก่ส่วนรวมพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 1 ปี โดยไม่ปรับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาว่า เรือนแพของกลางมีสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้าง หากจำเลยผิด ก็ขอให้รอการลงโทษ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 1 ปี ปรับ 2,000 บาท แต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยสถานเดียวแต่ไม่รอการลงโทษ จึงเป็นการแก้ไขมาก จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ปัญหาว่าเรือนแพของกลางเป็นไม้ที่อยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างตามความหมายในพระราชบัญญัติป่าไม้หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ไม้ทุกชิ้นที่ใช้ปลูกสร้างเรือนแพของกลางนี้ไม่ได้ไสกบเลย พื้นเรือนตีตะปูยึดกับตงไว้ที่หัวและท้ายเพียงบางแผ่นเท่านั้น ตงก็ใช้ไม้ขนาดเดียวกับพื้นที่ชานเรือนใช้ไม้ปูซ้อนล้ำกันถึง 1 วาเกินความจำเป็น ฝากั้นห้องไม่สม่ำเสมอกัน และปล่อยยาวออกมานอกเสา การตั้งวงกบประตูหน้าต่างเพียงตีชนกันไว้ไม่ได้เข้าไม้ให้แน่นหนา หัวเสาที่รับกับอะเสไม่ได้บากหรือหยักหัวเสาให้รับกัน มีแต่ตะปูตีไว้ไม่มั่นคงแข็งแรง ลูกบวบที่รองรับเรือนแพผูกไว้ไม่แน่นหนาสมกับจะเป็นเรือนแพที่อยู่อาศัย ฯลฯ ดังนี้ เห็นได้ชัดว่าได้ทำขึ้นเพียงให้เป็นรูปเรือนแพเพื่อพรางหรือลวงโดยเจตนาจะหลีกเลี่ยงกฎหมายและเพื่อสะดวกแก่การขนย้ายไป หาใช่เป็นไม้ที่อยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 มาตรา 4 อย่างใดไม่
พิพากษายืน