แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนฟ้องโจทก์จำเลยได้ทำหนังสือตกลงประนีประนอมกันต่อหน้าอำเภอว่า จำเลยยอมให้เงินโจทก์ 1,000 บาท แล้วขอรับเอาที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ฝ่ายโจทก์ยอมเอาเงิน 1,000บาท และยอมให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลยเป็นกรรมสิทธิ์
การตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเช่นนี้จึงต้องบังคับด้วยกฎหมายลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท 5 ไร่ จำเลยอาศัยปลูกเรือนอยู่ต่อมาได้รื้อออกไปครั้นโจทก์จะเข้าทำประโยชน์จำเลยขัดขวางโจทก์จึงไปร้องต่ออำเภอ ๆ เปรียบเทียบ จำเลยยอมให้เงินแก่โจทก์ 1,000 บาท โดยโจทก์ยอมขายที่ดินให้แก่จำเลยถึงกำหนดจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำเปรียบเทียบ โจทก์จึงฟ้อง
จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์เป็นของบิดามารดายกให้โจทก์ได้ตกลงขายที่ดิน 2 ไร่ที่อยู่ติดกับที่พิพาท แต่โจทก์กลับนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่พิพาท จำเลยจึงไม่ยอมรับซื้อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินหมายสีแดง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าก่อนฟ้องโจทก์จำเลยได้ทำหนังสือตกลงประนีประนอมกันต่อหน้าอำเภอเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 96 จำเลยยอมให้เงินโจทก์ 1,000 บาท แล้วขอรับเอาที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ฝ่ายโจทก์ยอมเอาเงิน 1,000 บาท และยอมให้ที่ดินพิพาทแก่จำเลยเป็นกรรมสิทธิ์ การตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเช่นนี้จึงต้องบังคับด้วยกฎหมายลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความและตามฎีกาของโจทก์ก็มิได้โต้แย้งว่ากรณีมิใช่เรื่องสัญญาประนีประนอมยอมความฯลฯ
พิพากษายืน