คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อในคดีแพ่งนั้น ต่างกับการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดอาญาโดยประมาท ซึ่งโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยแน่ชัดดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158สำหรับคดีแพ่ง เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องแสดงว่าการละเมิดของผู้ทำละเมิดเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ก็พอทำให้เข้าใจได้แล้วว่าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์มีอย่างไร
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังในการขับรถยนต์ของผู้ขับขี่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ล.บ.03951ของจำเลยที่ 3 กับ ย. ลูกจ้างขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนส.ค.00331 ของจำเลยที่ 1, 2 เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันดังกล่าวชนกัน และเนื่องจากการชนกันนี้เป็นเหตุให้ถังบรรจุขวดเบียร์และโซดาซึ่งบรรทุกอยู่บนรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ส.ค.00331 หล่นลงบนรถยนต์คันที่โจทก์ขับและเกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1, 2 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ส.ค.00331 และเป็นนายจ้างของนายย้า จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ล.บ.03951 และเป็นนายจ้างของผู้ขับขี่ไม่ทราบชื่อ โจทก์ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ก 5252 มาตามถนนพหลโยธิน ระหว่างกิโลเมตรที่ 31-32 ผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุก ล.บ.03951ขับอยู่หน้ารถโจทก์นายย้าขับรถยนต์บรรทุก ส.ค.00331 สวนทางมาด้วยความประมาทขาดความระมัดระวังในการขับรถยนต์ของผู้ขับทั้งสองนั้นเป็นเหตุให้รถสองคันนั้นชนกัน ทำให้ลังบรรจุเบียร์และโซดาซึ่งบรรทุกอยู่บนรถยนต์ ส.ค.00331 หล่นลงบนรถยนต์คันที่โจทก์ขับและระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส ดวงตาข้างขวาบอดพิการไปตลอดชีวิต ผู้ขับทั้งสองขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลย จำเลยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธความรับผิด จำเลยที่ 1, 2 ตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้กล่าวหรือบรรยายว่าคนขับรถยนต์ของจำเลยขับรถในลักษณะอย่างไร กระทำโดยประมาทอย่างไร การที่โจทก์กล่าวเพียงว่าขับรถโดยประมาทขาดความระมัดระวัง ไม่อาจทำให้เข้าใจข้อหาของโจทก์ได้ ฟ้องโจทก์จึงขาดข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องของโจทก์สมบูรณ์ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 บัญญัติไว้แล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาไปตามรูปคดี

จำเลยที่ 1, 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อในคดีแพ่งนั้นต่างกับการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดอาญาโดยประมาท ซึ่งโจทก์จะต้องบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยแน่ชัดดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 สำหรับคดีแพ่งเมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องแสดงว่าการละเมิดของผู้ทำละเมิดเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ก็พอทำให้เข้าใจได้แล้วว่า ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์มีอย่างไร คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังในการขับรถยนต์ของผู้ขับขี่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ล.บ.03951 กับนายย้าผู้ขับขี่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ส.ค.00331 เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันดังกล่าวชนกัน และเนื่องจากการชนกันนี้เป็นเหตุให้ลังบรรจุขวดเบียร์และโซดาซึ่งบรรทุกอยู่บนรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ส.ค.00331หล่นลงบนรถยนต์คันที่โจทก์ขับและเกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในตอนท้ายให้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น ที่ถูกควรพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่

Share