แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าของนาจดทะเบียนจำนองนาไว้กับโจทก์แล้ว ขายให้จำเลยโดยไม่จดทะเบียน แล้วกลับจดทะเบียนขายให้โจทก์โดยไม่สุจริต เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายนา การจำนองก็ยังคงติดอยู่ตามเดิม
ย่อยาว
คดีนี้คู่ความพิพาทกันด้วยเรื่องที่นา 1 แปลงซึ่งขึ้นทะเบียนที่ดินไว้ต่ออำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เนื้อที่ 49 ไร่ 80 วา ราคา 8,000 บาท เดิมมีชื่อนายสำอางค์ แย้มชูติ เป็นเจ้าของ
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2493 นายสำอางค์ แย้มชูติ ได้ทำสัญญาต่ออำเภอตะพานหิน จำนองที่รายนี้ไว้กับโจทก์เป็นเงิน 7,500 บาทถึง พ.ศ. 2494 นายสำอางค์ แย้มชูติ ทำสัญญาต่ออำเภอตะพานหินขายที่รายนี้ให้โจทก์ โดยขึ้นเอาเงินอีก 1,500 บาท ได้แก้ทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของแล้ว แต่ในปี พ.ศ. 2493 และ 2494 จำเลยได้ทำนารายนี้โดยเช่าจากโจทก์มีหนังสือเช่าทั้ง 2 คราว ครั้นโจทก์ประกาศขอรับโฉนดตราจอง จำเลยกลับคัดค้าน โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าที่นารายนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และห้ามอย่าให้จำเลยเข้าขวางในการที่โจทก์จะขอรับโฉนดตราจอง
จำเลยให้การเป็นฟ้องแย้งว่า นารายนี้ นายสำอางค์ แย้มชูติได้ขายให้จำเลยเป็นราคา 4,000 บาท เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2493ซึ่งขณะนั้น นายสำอางค์ แย้มชูติ ได้จำนองไว้กับโจทก์ ๆ ก็รู้เห็นยินยอม โดยโจทก์เองเป็นผู้เขียนหนังสือสัญญาซื้อขายให้ และในวันนั้นจำเลยได้ชำระเงินให้นายสำอางค์ แย้มชูติ 3,500 บาทต่อมาวันที่ 1 เมษายน 2494 จำเลยได้ชำระเงินที่ค้างให้นายสำอางค์แย้มชูติ อีก 500 บาท นายสำอางค์แย้มชูติ ได้มอบนารายนี้ให้จำเลย ๆได้ครอบครองมาเกินปีแล้ว และนารายนี้แต่เดิมเป็นที่เตียนเพียง 7 ไร่ จำเลยได้บุกเบิกต่อมาจำเลยได้เตือนให้นายสำอางค์ แย้มชูติโอนให้จำเลยให้ถูกต้อง นายสำอางค์ แย้มชูติ ก็ผัดเพี้ยนไปภายหลังจำเลยจึงทราบว่าโจทก์กับนายสำอางค์ แย้มชูติ กระทำทุจริตสมยอมกันทำสัญญาซื้อขายให้โจทก์ต่ออำเภอตะพานหิน เพื่อฉ้อจำเลย ๆ ไม่เคยทำสัญญาเช่านารายนี้จากโจทก์ดังฟ้องเลยเมื่อเป็นเช่นนี้ จำเลยจึงต้องฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าที่นารายพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครอง และให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับนายสำอางค์ แย้มชูติ เสียกับให้ห้ามอย่าให้โจทก์เกี่ยวข้องกับนารายนี้ต่อไป และให้ยกฟ้องของโจทก์เสียด้วย
ศาลจังหวัดพิจิตรพิจารณาได้ความสมจริงดังข้อต่อสู้ และฟ้องแย้งของจำเลย พิพากษาให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่างโจทก์กับนายสำอางค์ แย้มชูติ ตามหนังสือสัญญา ลงวันที่ 24 กันยายน 2494 นั้นเสีย ให้จำเลยมีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโดยมีหนี้จำนองของโจทก์ติดอยู่ด้วย ห้ามมิให้โจทก์เกี่ยวข้องกับนาพิพาทนอกจากอำนาจในฐานะผู้รับจำนอง
โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
โจทก์อุทธรณ์ว่า คดีควรฟังสมโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลควรพิพากษาให้จำเลยมีสิทธิครอบครองนาพิพาทโดยปราศจากหนี้จำนองของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาต่อมาฝ่ายเดียว
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว ปัญหาอันพึงวินิจฉัยในชั้นนี้คงมีแต่ตามที่จำเลยฎีกาขึ้นมาข้อเดียวว่านารายนี้ยังมีหนี้จำนองของโจทก์ติดอยู่หรือไม่ ความอื่นนอกจากนี้เป็นยุติ ศาลจึงเห็นว่า ข้อที่โจทก์ได้รับจำนองนารายนี้ไว้ก่อนที่นายสำอางค์ แย้มชูติ ขายให้จำเลยนั้น ทางพิจารณาฟังเป็นยุติว่าเป็นความจริง และการจำนองก็ได้ทำสัญญาจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว และในความข้อนี้จำเลยก็มิได้โต้แย้งประการใด ทั้งจำเลยก็รับอยู่ว่า เมื่อจำเลยซื้อที่รายนี้จากนายสำอางค์ แย้มชูติ นั้นนายสำอางค์ แย้มชูติได้จำนองที่รายนี้ไว้กับโจทก์ จำเลยคงฎีกาคัดค้านแต่เพียงว่าเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับนายสำอางค์แย้มชูติ แล้ว ที่พิพาทก็กลับคืนสู่สภาพเดิม คือตกมาเป็นของนายสำอางค์ แย้มชูติ โดยไม่มีการจำนองติดอยู่ กับว่าเมื่อโจทก์นำคดีมาสู่ศาลโดยความไม่สุจริต สิทธิที่โจทก์จะเรียกร้องเอาเงินคืนก็เสียไป
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลได้พิพากษาให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับนายสำอางค์ แย้มชูตินั้น เป็นในประเด็นความอีกข้อหนึ่งต่างหากไม่เกี่ยวกับเรื่องจำนอง จึงหาเป็นเหตุกระทบกระเทือนทำให้สัญญาจำนองอันสมบูรณ์อยู่ตามกฎหมายแล้วนั้นเสื่อมเสียไปด้วยไม่ ที่พิพาทจึงคงต้องติดจำนองอยู่นั้นเอง และการจำนองรายนี้ก็ปรากฏว่านายสำอางค์ แย้มชูติ กับโจทก์ได้ทำกันไว้ก่อนที่จำเลยมาซื้อนารายนี้และได้ทำกันโดยสุจริตจึงไม่มีทางที่จำเลยจะอ้างได้ว่าโจทก์นำคดีในเรื่องการจำนองที่พิพาทมาสู่ศาลโดยไม่สุจริต ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ศาลฎีกาพิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย ค่าธรรมเนียมค่าทนายความในชั้นนี้ให้เป็นพับไป