คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสามส่งมอบรถยนต์ อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาซื้อขายที่มีสภาพบกพร่องให้แก่โจทก์ เป็นการประพฤติผิดสัญญา ทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับ จำเลยทั้งสามคืนเงิน 70,000 บาท ที่รับไปจากโจทก์และ ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย จำเลยทั้งสามให้การว่า ได้ขับรถยนต์ และได้รับเงิน 70,000 บาทจากโจทก์จริง แต่ไม่จำเป็นต้อง คืนเงินดังกล่าวเพราะโจทก์ตกลงเลิกสัญญาซื้อขายกับจำเลย ทั้งสามแล้ว โดยโจทก์เปลี่ยนใจเช่าซื้อรถยนต์คันใหม่และยอมให้ถือ เอาเงิน 70,000 บาทนั้นเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าซื้อ นอกจากนี้ โจทก์ยังเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ ทำให้จำเลยทั้งสามเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสาม เห็นได้ว่า โจทก์และจำเลยทั้งสามมีข้อพิพาทโดยตรงว่า โจทก์มีสิทธิ เรียกเงิน 70,000 บาทคืนจากจำเลยทั้งสามหรือไม่ แม้จะมีข้อเรียกร้องอื่นเกี่ยวกับค่าเสียหายที่ต่างฝ่ายยกขึ้น เป็นข้ออ้างข้อเพียงก็เป็นเรื่องเกี่ยวพันกับเงินจำนวน 70,000 บาทนั้นเอง ฉะนั้น คำฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสาม ที่อ้างว่ามีสิทธิริบเงิน 70,000 บาท จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ฟ้องเดิมของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามขายรถยนต์ยี่ห้อฮีโน่หมายเลขตัวถังเอฟบี 112 เอ-10693 หมายเลขเครื่องยนต์ ดับเบิลยูโอ 4 ดี-บี 13499ให้โจทก์ในราคา 440,000 บาท โจทก์วางมัดจำในวันทำสัญญา30,000 บาท และชำระให้แก่จำเลยทั้งสามในเวลาต่อมาอีก40,000 บาท รวมเป็นเงิน 70,000 บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 17,700 บาท รวม 36 งวด โจทก์ได้รับมอบรถคันดังกล่าวจากจำเลยทั้งสามแล้ว แต่ไม่สามารถใช้การได้เนื่องจากสภาพรถบกพร่อง โจทก์ขอคิดค่าเสียหายที่ขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 29 วัน ในอัตราวันละ 4,000 บาทเป็นเงิน 116,000 บาท รวมกับเงินที่โจทก์ชำระไปแล้ว70,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 186,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 186,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากจำนวนเงิน 70,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ยี่ห้อฮีโน่ จากจำเลยทั้งสามจริง แต่โจทก์กับจำเลยทั้งสามตกลงยกเลิกสัญญาซื้อขายนั้นแล้วเนื่องจากโจทก์เปลี่ยนใจเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อฮีโน่ หมายเลขทะเบียน 81-8760 สมุทรปราการ จากจำเลยทั้งสามแทนในราคา 637,000 บาท และยอมให้ถือเอาเงิน 70,000 บาทที่โจทก์ชำระให้จำเลยทั้งสามแล้วเป็นเงินดาวน์ กำหนดให้โจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือเดือนละ 17,700 บาท รวม 36 เดือนนอกจากนี้โจทก์ยังต้องชำระค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่จำเลยอีก 26,790 บาท หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อและรับรถไปแล้วโจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อและเบี้ยประกันภัยรถยนต์ให้แก่จำเลยทั้งสาม เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามเสียหาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ชำระค่าเสียหายจำนวน 380,702 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสาม
ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับคำฟ้องเดิมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความชำรุดบกพร่องของรถยนต์ที่จำเลยทั้งสามขายให้โจทก์ โดยบรรยายฟ้องว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีสภาพบกพร่อง เป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสามส่งมอบรถยนต์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาซื้อขายที่มีสภาพบกพร่องให้แก่โจทก์เป็นการประพฤติผิดสัญญาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และมีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสามคืนเงิน 70,000 บาท ที่รับไปจากโจทก์และชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วยจำเลยทั้งสามให้การรับว่า ได้ขายรถยนต์ให้แก่โจทก์และรับเงินจำนวน 70,000 บาท จากโจทก์จริงแต่ต่อสู้ว่า จำเลยทั้งสามไม่จำต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์เพราะโจทก์กับจำเลยทั้งสามตกลงเลิกสัญญาซื้อขายนั้นแล้ว โดยโจทก์เปลี่ยนใจเช่าซื้อรถยนต์คันใหม่จากจำเลยทั้งสามและยอมให้ถือเอาเงิน 70,000 บาทนั้นเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าซื้อ นอกจากนี้แล้วโจทก์ยังเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามเสียหายขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสามข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์กับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์ซื้อรถยนต์จากจำเลยทั้งสามแล้วชำระราคาบางส่วนเป็นเงิน 70,000 บาท คงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าจำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายต้องรับผิดคืนเงินจำนวน70,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ หรือโจทก์กับจำเลยทั้งสามตกลงเลิกสัญญาซื้อขายแล้วเปลี่ยนมาผูกพันกันตามสัญญาเช่าซื้อโดยโจทก์เช่าซื้อรถยนต์คันใหม่จากจำเลยทั้งสามและถือเอาเงิน70,000 บาท นั้นเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าซื้อ แล้วโจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามมีสิทธิริบเงิน70,000 บาท และเรียกค่าเสียหายจากโจทก์เห็นได้ว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสามมีข้อพิพาทโดยตรงว่า โจทก์มีสิทธิเรียกเงิน 70,000 บาทคืนจากจำเลยทั้งสามหรือไม่ แม้จะมีข้อเรียกร้องอื่นเกี่ยวกับค่าเสียหายที่ต่างฝ่ายยกขึ้นเป็นข้ออ้างข้อเถียงก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับเงินจำนวน 70,000 บาท นั้นเอง ฉะนั้นคำฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามที่อ้างว่ามีสิทธิริบเงิน 70,000 บาท จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่า ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามเป็นเรื่องอันไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมและไม่รับฟ้องแย้งนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสาม

Share