แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเช่าที่ดินของผู้ร้องเพื่อปลูกสร้างเป็นโกดังเก็บสินค้าๆ มีเงื่อนไขในสัญญาเช่าว่า เมื่อสัญญาเช่าเลิกลงเพราะเหตุใดๆ บรรดาสิ่งปลูกสร้างทั้งสิ้นตกเป็นทรัพย์สินของผู้ให้เช่า และมีเงื่อนไขในสัญญาเช่าว่า เมื่อผู้เช่าถูกฟ้องคดีล้มละลาย ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาเช่าได้ ต่อมาจำเลยถูกฟ้องคดีล้มละลาย ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด ผู้ร้องจึงขอยกเลิกสัญญาเช่นรายนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กรณีเช่นนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะอ้างมาตรา ม.122 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ปฏิเสธการบอกเลิกสัญญาเช่าของผู้ร้องหาได้ไม่ เพราะความในมาตราดังกล่าวหมายถึงทรัพย์สินหรือสิทธิตามสัญญาที่ลูกหนี้จะพึงได้รับมา ไม่ใช่ทรัพย์สินหรือสิทธิตามสัญยาที่ผู้อื่นจะพึงได้รับไป การที่ผู้ร้องใช้สิทธิตามข้อตกลงในสัญญาเช่าบอกเลิกสัญญานั้น เป็นสิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นจะพึงได้รับไป หาใช่สิทธิตามสัญญาที่ลูกหนี้จะพึงได้รับมาไม่ จึงไม่อยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะพิจารณาว่าสิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นจะพึงได้รับไปเช่นนี้ มีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้แก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า จำเลยได้เช่าที่ดินของผู้ร้องมีกำหนด ๑๕ ปี เพื่อสร้างเป็นโกดังเก็บสินค้าค่าเช่าเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท มีเงื่อนไขว่าเมื่อสัญญาเช่าเลิกลงเพราะเหตุใดๆ บรรดาสิ่งปลูกสร้างทั้งสิ้นตกเป็นทรัพย์สินของผู้ให้เช่าทันที ต่อมาศาลแพ่งได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของจำเลยอันเป็นเหตุให้ผู้ร้องมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามสัญญาเช่าข้อ ๑๔ ผู้ร้องจึงบอกเลิกสัญญาเช่ารายนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อ้างมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ ปฏิเสธสิทธิของผู้ร้องและถือว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิเลิกสัญญา จึงขอให้ศาลสั่งกลับคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยืนคำแถลงคัดค้านว่า สัญญาเช่าข้อ ๑๔ ที่ให้เลิกสัญญาได้ในกรณีผู้เช่าถูกฟ้องล้มละลาย นั้น เป็นสิทธิตามสัญญาอันมีภาระเกินกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้แก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามนัยแห่งมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจปฏิเสธการบอกเลิกสัญญาได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลแพ่งมีคำสั่งว่า ผู้ร้องมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ ให้กลับคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ปฏิเสธการบอกเลิกสัญญาเช่าของผู้ร้องเสีย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความในมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ เห็นได้ชัดแจ้งว่า ทรัพยสิทธิหรือสิทธิตามสัญญาที่มีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้อันจะปรับเข้าในความหมายของมาตรานี้ได้ คือ ทรัพย์สินหรือสิทธิตามสัญญาที่ลูกหนี้จะพึงได้รับมา ไม่ใช่ทรัพย์สินหรือสิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นจะพึงได้รับไป การที่ผู้ร้องใช้สิทธิตามข้อตกลงในสัญญาเช่าบอกเลิกสัญญานั้น เป็นสิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นจะพึงได้รับไป หาใช่สิทธิตามสัญญาที่ลูกหนี้จะพึงได้รับมาไม่ และย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะพิจารณาว่า สิทธิตามสัญญาที่ผู้อื่นจะพึงได้รับไปเช่นนี้มีภาระเกินควารกว่าประดยชน์ที่จะฟังได้แก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่ เพราะประโยชน์ที่จะพึงได้ในการที่ผู้ร้องใช้สิทธิตามสัญญาบอกเลิกสัญญาตกได้แก่ผู้ร้องต่างหาก หาใช่ตกได้แก่ลูกหนี้ คือ จำเลยไม่ และเมื่อสิทธิตามสัญญานี้เป็นประโยชน์อันพึงได้แก่ผู้ร้อง มิใช่พึงได้แก่ลูกหนี้ สิทธิตามสัญญานี้ก็ไม่ใช่ของลูกหนี้ แต่เป็นของผู้ร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะใช้อำนาจยอมรับหรือไม่ยอมรับเอาทรัพย์หรือสิทธิของผู้อื่นมารวมในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้อย่างไร ฉะนั้น
ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อ้างถึงความในมาตรา ๑๒๒ ประโยคที่ว่า”มีภาวะเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้” ว่าหมายความรวมถึงสิทธิที่ลูกหนี้จะต้องเสียให้กับผู้อื่นด้วย นั้น จึงหาถูกต้องไม่ ฯลฯ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะอาศัยอำนาจตามมาตรานี้ปฏิเสธการที่ผู้ร้องบอกเลิกสัญญาเช่ารายนี้หาได้ไม่ ฯลฯ พิพากษายืน