คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1223/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่า พยานผู้ร้องยกเว้น ป. และ ศ. ไม่มีผู้ใดยืนยันว่าผู้ร้องอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิอะไรสำหรับ ป. และ ศ.ซึ่งเบิกความว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินมาจาก อ. ก็ขัดกับเอกสารและเป็นพยานบอกเล่า มีน้ำหนักน้อย และการที่ผู้ร้องมิได้โต้แย้งคัดค้านเมื่อมีผู้อื่นมาขอออกโฉนดในนามของคนอื่นก็ดี หรือนำที่ดินไปจำนองต่อธนาคารก็ดี ดูจะเป็นเหตุผิดปกติวิสัย ยกเว้นแต่ผู้ร้องจะทราบดีว่าตนไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาทเท่านั้นเป็นการฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยมิได้มีเจตนายึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของอันเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาต้องถือตาม ผู้ร้องมิได้มีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของผู้ร้องย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า เมื่อปี พ.ศ. 2500 ผู้ร้องซื้อที่ดินโฉนดตราจองที่ 3614 ตำบลปากทาง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตรซึ่งมีนายชานนท์ หลิมศิริวงษ์ เป็นเจ้าของ โดยซื้อส่วนทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 2 งาน ในราคา 2,000 บาท จากนางแตงโอ สิทธิเกษตร ซึ่งในขณะนั้นที่ดินมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ มีชื่อนางแตงโอเป็นผู้มีสิทธิครอบครองผู้ร้องได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเกินกว่า10 ปี ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินจำนวน 2 งาน ดังกล่าว โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดตราจองที่ 3614 เนื้อที่ 2 งานโดยการครอบครองปรปักษ์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวทั้งแปลงมาในปี พ.ศ. 2521 ผู้ร้องอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวมาโดยขออาศัยจากเจ้าของเดิม และต่อมาได้ขออนุญาตผู้คัดค้านอยู่อาศัยตลอดมา จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน โฉนดตราจองที่ 3614 จำนวน 2 งาน โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 นั้น ในการวินิจฉัยปัญหาเช่นนี้ ศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238, 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานว่า พยานผู้ร้องยกเว้นนายประดิษฐ์และนายศิริต่างไม่มีผู้ใดยืนยันว่า ผู้ร้องอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิอะไร สำหรับนายประดิษฐ์ซึ่งเบิกความว่าผู้ร้องซื้อที่ดินจากนางแตงโอก็ขัดกับเอกสาร ส่วนนายศิริซึ่งเบิกความว่า ทราบจากภรรยาของนายศิริว่าผู้ร้องซื้อที่ดินจากนางแตงโอก็เป็นพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยและการที่มีผู้อื่นมาขอออกโฉนดในที่ดินแปลงดังกล่าวก็ดีหรือนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปจำนองก็ดี ผู้ร้องกลับไม่ได้คัดค้านซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยเว้นเสียแต่ว่าผู้ร้องจะทราบว่าตนไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาทนั้นคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นการฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องครอบครองที่พิพาทโดยมิได้มีเจตนายึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของอันเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาต้องถือตาม เมื่อผู้ร้องไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเจ้าของ ผู้ร้องย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share