แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมรถยนต์อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ได้เอาประกันวินาศภัยโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัย โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์จากสัญญาประกันภัย ต่อมารถยนต์ถูกชนเสียหาย บริษัทรับประกันได้รับมอบไปจัดการซ่อม เมื่อโจทก์ร้องขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาโจทก์ได้นำยึดรถยนต์คันอื่นอีก 6 คัน เว้นแต่รถยนต์คันนี้ซึ่งอยู่ในอู่ของบริษัทผู้รับประกันภัยโจทก์มิได้นำยึด ดังนี้เห็นว่ารถยนต์คันนี้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 มาแต่ต้น การที่โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์จากสัญญาประกันภัยก็เพราะกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนี้ยังเป็นของโจทก์ในฐานะผู้ให้เช่าซื้อเท่านั้น ไม่อาจถือได้ว่ารถยนต์คันนี้กลับมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ต้องถือว่าในระหว่างรถยนต์คันนี้ได้รับการซ่อมแซมอยู่ในอู่ของบริษัทผู้รับประกันภัย อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ตลอดมาจนเสร็จคดี เมื่อศาลพิพากษาให้ส่งมอบจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์คันนี้ให้โจทก์
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้มีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาและได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์ 4 คันจากจำเลยที่ 1 แล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีมอบรถยนต์ 4 คันนี้ให้โจทก์รักษาไว้ ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชนะคดีเฉพาะรถยนต์ 4 คันนี้ โดยฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ไม่มีอำนาจบอกเลิกสัญญาได้ ให้ยกฟ้องโจทก์ ในคำพิพากษามิได้กล่าวไว้ซึ่งวิธีการชั่วคราวที่ศาลสั่งไว้ในระหว่างพิจารณา ฉะนั้น จึงต้องถือว่าคำสั่งของศาลที่ให้ยึดรถยนต์ 4 คันนี้ไว้ชั่วคราวเป็นอันยกเลิกไปในตัว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(1) จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิได้รับรถยนต์ 4 คันนี้กลับคืนไปในฐานะผู้เช่าซื้อซึ่งมิได้ผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์ 4 คันนี้ไว้ได้ เพราะโจทก์มิใช่ผู้ครองรถยนต์ 4 คันนี้โดยมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่โจทก์ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 241 โจทก์เป็นแต่เพียงผู้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานบังคับคดีให้รักษารถยนต์ 4 คันนี้ไว้ในระหว่างถูกยึดไว้ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อการยึดทรัพย์ถูกยกเลิกไป โจทก์ในฐานะผู้รักษาทรัพย์ก็ต้องคืนรถยนต์ที่รับรักษาไว้แก่จำเลยที่ 1 ไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี
ย่อยาว
คดีนี้พิพาทกันชั้นบังคับคดี โดยโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์โจทก์ไป ๗ คัน จำเลยที่ ๑ ผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์ทวงถามและบอกเลิกสัญญา และให้จำเลยที่ ๑ คืนรถยนต์ทั้ง ๗ คัน โจทก์ยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งยึดรถยนต์ทั้ง ๗ คันเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นให้ยึดรถยนต์ ๗ คันไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา แต่ยึดได้เพียง ๖ คัน และให้โจทก์เป็นผู้รักษา ส่วนรถยนต์คันเลขทะเบียนที่ ก.ท. ๑๒๕๘๓ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องว่าถูกชนเสียหาย ผู้รับประกันวินาศภัยรับไปทำการซ่อม ต่อมาศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีว่าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ คืนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท. ๑๒๕๘๒ ก.ท. ๑๒๕๘๓ ก.ท. ๑๒๕๘๔ และ ก.ท. ๑๔๒๑๘ ให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ส่วนอีก ๓ คันพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๑ ส่งมอบรถยนต์ ก.ท. ๑๒๕๘๒ ก.ท. ๑๒๕๘๓ และ ก.ท. ๑๒๕๘๔ โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาโดยโจทก์ขอรับรถยนต์ ก.ท. ๑๒๕๘๒ และ ก.ท. ๑๒๕๘๔ ซึ่งกองหมายยึดและมอบให้โจทก์รักษาไว้ ส่วนรถยนต์ ก.ท. ๑๒๕๘๓ จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถส่งมอบให้โจทก์ได้ จึงขอให้ใช้ราคา ส่วนจำเลยที่ ๑ ขอรับรถยนต์ ก.ท.๑๔๑๙๑ ก.ท. ๑๔๐๘๗ ก.ท. ๑๔๒๑๘ และ ก.ท.ป.๕๒๙๗ (ทะเบียนใหม่ น.บ.๐๒๓๒)ซึ่งกองหมายยึดไว้ และศาลพิพากษายกฟ้องคืนไป โจทก์แถลงต่อกองหมายไม่ยอมให้คืนรถยนต์ ๔ คันนี้ให้จำเลยที่ ๑ โดยอ้างว่าได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่จำเลยที่ ๑ แล้ว กองหมายจึงไม่มอบรถยนต์ ๔ คันให้จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้มีคำสั่งบังคับเจ้าพนักงานบังคับคดีและโจทก์ส่งมอบรถยนต์ ๔ คัน และว่ารถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท. ๑๒๕๘๓ อยู่ในความครอบครองของโจทก์แล้ว เพราะจำเลยที่ ๑ เอารถยนต์คันนี้ไปประกันวินาศภัยไว้กับบริษัทธนภัณฑ์ จำกัด ผู้รับประกันภัย โจทก์ยื่นคำแถลงว่า รถยนต์ทุกคันเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยที่ ๑ เป็นเพียงผู้เช่าซื้อโจทก์มีสิทธิริบ ส่วนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท. ๑๒๕๘๓ จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่จะต้องส่งมอบให้โจทก์ตามคำบังคับของศาล เมื่อส่งไม่ได้ ก็ต้องชดใช้ราคา ศาลชั้นต้นสั่งว่า
๑. รถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท. ๑๒๕๘๓ จำเลยที่ ๑ ปฏิเสธว่าไม่ต้องรับผิด เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ได้อุทธรณ์คำสั่งลงวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๐๓ ครั่งหนึ่งแล้ว ศาลฎีกากล่าวถึงอุทธรณ์ฉบับนี้ไว้ในคำพิพากษาฎีกาแล้วไม่ชอบที่จำเลยที่ ๑ จะรื้อฟื้นเอาเรื่องที่ศาลสั่งไปแล้วให้กลับมาวินิจฉัยซ้ำอีก
๒. กรณีจำเลยที่ ๑ ขอรับรถยนต์ ๔ คันคืนนั้น เห็นว่า โจทก์ร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา และศาลได้ยึดและมอบให้โจทก์รักษา เมื่อศาลฎีกายกฟ้อง ไม่ได้กล่าวถึงวิธีการชั่วคราวที่สั่งไว้ จึงต้องถือว่าคำสั่งยึดรถยนต์พิพาทถูกเพิกถอนไปในตัว โจทก์ต้องคืนรถยนต์ ๔ คันนี้ให้จำเลยที่ ๑ จึงให้โจทก์คืนรถยนต์ ๔ คันนี้ให้จำเลยที่ ๑
โจทก์จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า รถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท. ๑๒๕๘๓ อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ ผู้เช่าซื้อมาแต่ต้น จำเลยที่ ๑ เป็นผู้เอาไปประกันวินาศภัยไว้กับบริษัทธนภัณฑ์ จำกัด เมื่อถูกชนก็ยังอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ เป็นผู้มอบรถยนต์คันนี้ให้บริษัทจัดการซ่อม การที่โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์จากสัญญาประกันภัยก็เพราะกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนี้ยังเป็นของโจทก์ ไม่อาจถือได้ว่ารถยนต์คันนี้กลับมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ต้องถือว่ารถยนต์คันนี้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ ตลอดมาจนเสร็จคดี จำเลยที่ ๑ จึงมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์คันนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษา
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท. ๑๔๑๙๑ ก.ท. ๑๔๐๘๗, ก.ท. ๑๔๒๑๘ และ ก.ท.ป. ๕๒๙๗ (หมายเลขทะเบียนใหม่ น.บ.๐๒๓๒) ไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๔๑ เพราะจำเลยที่ ๑ ค้างชำระค่าเช่าซื้อและรถยนต์คันนี้อยู่ในความครอบครองของโจทก์แล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอให้มีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา และได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์ ๔ คันนี้จากจำเลยที่ ๑ แล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มอบรถยนต์ ๔ คันนี้ให้โจทก์รักษาไว้ ต่อมาศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชนะคดีเฉพาะรถยนต์ ๔ คันนี้ โดยฟังว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ไม่มีอำนาจบอกเลิกสัญญาได้ ให้ยกฟ้องโจทก์ และในคำพิพากษามิได้กล่าวไว้ซึ่งวิธีการชั่วคราวที่ศาลได้สั่งไว้ในระหว่างพิจารณา ฉะนั้น จึงต้องถือว่าคำสั่งของศาลที่ให้ยึดรถยนต์ ๔ คันนี้ไว้ชั่วคราวเป็นอันยกเลิกไปในตัว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๐(๑) จำเลยที่ ๑ จึงมีสิทธิจะได้รับรถยนต์ ๔ คันนี้กลับคืนไปในฐานะผู้เช่าซื้อซึ่งมิได้ผิดสัญญาโจทก์ไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์ ๔ คันนี้ไว้ได้ เพราะโจทก์มิใช่ผู้ครองรถยนต์ ๔ คันนี้โดยมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่โจทก์ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๔๑ โจทก์เป็นแต่เพียงผู้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานบังคับคดีให้รักษารถยนต์ ๔ คันนี้ไว้ระหว่างถูกยึดชั่วคราวเท่านั้น เมื่อการยึดทรัพย์ถูกยกเลิกไป โจทก์ในฐานะผู้รักษาทรัพย์ก็ต้องคืนรถยนต์ที่รักษาไว้ให้แก่จำเลยที่ ๑ ไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี
พิพากษายืน