คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ติดต่อคนร้ายเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายซึ่งถูกจับไปเรียกค่าไถ่โดยสุจริต ไม่มีพฤติการณ์ใดส่อไปในทำนองว่ามีส่วนได้เสียหรือร่วมรู้เห็นเป็นใจกับคนร้าย ผู้เสียหายกับจำเลยอยู่คนละจังหวัด การเดินทางไปติดต่อคนร้ายก็ดี ติดต่อผู้เสียหายก็ดี ย่อมต้องเสียค่าใช้จ่าย การที่ผู้เสียหายมอบเงินจำนวนหนึ่งให้จำเลยเป็นค่าใช้จ่าย เงินดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่มิควรได้ตามความหมายของมาตรา 315 แห่งประมวลกฎหมายอาญา การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันฉุดคร่าผู้เสียหายไปหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ แล้วเรียกเอาเงินค่าไถ่จากสามีของผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ ๒ ได้กระทำตนเป็นคนกลางติดต่อระหว่างสามีผู้เสียหายกับจำเลยอื่นและพวก เพื่อให้นำเงินค่าไถ่ไปมอบให้และจำเลยที่ ๒ ได้รับเงินที่มิควรได้จากสามีผู้เสียหาย ๖,๐๐๐ บาทขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๓ จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๕
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ไม่ได้ และสำหรับจำเลยที่ ๒ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ ๒ ติดต่อคนร้ายเพื่อช่วยเหลือฝ่ายผู้เสียหายโดยสุจริต ไม่มีพฤติการณ์ใดที่ส่อไปในทำนองว่ามีส่วนได้เสียหรือร่วมรู้เห็นเป็นใจกับคนร้าย ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อจำเลยที่ ๒ พานายประสันต์ไปเจรจาเรื่องค่าไถ่กับคนร้าย จำเลยที่ ๒ ก็ให้นายประสันต์พูดกับคนร้ายโดยลำพัง จำเลยที่ ๒ หาได้เกี่ยวข้องด้วยไม่ การเจรจาเรื่องค่าไถ่ครั้งต่อมานายประสันต์บอกจำเลยที่ ๒ ว่าไม่มีเงิน หากจะมีก็ไม่เกิน๑๐๐,๐๐๐ บาท และเอาเสตทเมนท์ของธนาคารให้ดู จำเลยที่ ๒ ขอเสตทเมนท์ไว้ นัดนายประสันต์ให้มาพบในวันรุ่งขึ้น เมื่อนายประสันต์มาพบ จำเลยที่ ๒ บอกว่าให้นำเงินมาไถ่ผู้เสียหาย ๑๘๐,๐๐๐ บาท แสดงว่าจำเลยที่ ๒ นำเสตทเมนท์ไปให้คนร้ายดูเพื่อกำหนดค่าไถ่จำเลยที่ ๒ มิได้กำหนดค่าไถ่เอง การนำเงินค่าไถ่ไปให้คนร้าย จำเลยที่ ๒ ก็ให้นายประสันต์กับนายโอฬารไปด้วย โดยมอบเงินให้คนร้ายต่อหน้าบุคคลทั้งสอง ส่วนเงิน ๖,๐๐๐ บาทที่นายประสันต์มอบให้จำเลยที่ ๒ นั้นนายประสันต์ว่าจำเลยที่ ๒ เรียกร้องเป็นค่าใช้จ่าย ศาลฎีกาเห็นว่าผู้เสียหายอยู่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย จำเลยที่ ๒ อยู่ที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ การเดินทางไปติดต่อคนร้ายก็ดี ติดต่อผู้เสียหายก็ดี ย่อมต้องเสียค่าใช้จ่าย จำนวนเงินดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่มิควรได้ตามความหมายของบทบัญญัติมาตรา ๓๑๕ แห่งประมวลกฎหมายอาญา การกระทำของจำเลยที่ ๒ ไม่เป็นความผิด
พิพากษายืน

Share