คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามข้อหาหมิ่นประมาทต่อศาลจังหวัด ก. เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2542 ไว้แล้ว โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามในข้อหาเดียวกันต่อศาลจังหวัด ป. อีกในวันรุ่งขึ้น ฟ้องคดีหลังของโจทก์เป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 อันส่งผลให้คำสั่งประทับฟ้องของศาลจังหวัด ป. ไม่ชอบไปด้วย แม้ศาลจังหวัด ก. จะไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาหลังจากศาลจังหวัด ป. มีคำสั่งประทับฟ้องโจทก์ไว้แล้ว กรณีก็ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 18 (เดิม) เพราะไม่ใช่กรณีที่ศาลจังหวัด ป. มีคำสั่งประทับฟ้องไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลจังหวัด ก. ซึ่งโจทก์ฟ้องคดีเป็นศาลแรก จึงมีอำนาจพิจารณาคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ , ๓๒๖ , ๓๒๘ , ๓๓๒ พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔ , ๔๘ , ๔๙ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันโฆษณาหรือประกาศคำพิพากษาของศาลและคำขออภัยโจทก์เนื้อที่เต็มหน้าในหนังสือพิมพ์รายวันที่ออกจำหน่ายในกรุงเทพมหานครทุกฉบับ เป็นเวลา ๑๕ วัน ติดต่อกัน โดยให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องว่า โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามในมูลความผิดเดียวกันนี้ที่ศาลจังหวัดปัตตานี ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๙๒๘/๒๕๔๒ และศาลจังหวัดปัตตานีประทับฟ้องคดีดังกล่าวไว้พิจารณาเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๒ ศาลชั้นต้นในคดีนี้จึงไม่มีอำนาจรับคดีนี้ไว้พิจารณาต่อไป ตามพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๔๗๗ และพระธรรมนูญศาลยุติธรรมท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา ๑๘ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนหมายจับจำเลยทั้งสาม และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นสอบทนายโจทก์และทนายจำเลยทั้งสามแล้วต่างยอมรับว่า โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามเรื่องเดียวกันที่ศาลชั้นต้นต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๘ ศาล ศาลชั้นต้นในคดีนี้เป็นศาลแรกที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสาม ส่วนศาลจังหวัดปัตตานีเป็นศาลแรกที่ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณานั้น ศาลจังหวัดปัตตานีซึ่งประทับฟ้องไว้ก่อน มีคำสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ เนื่องจากไม่อนุญาตให้โจทก์นำคดีดังกล่าวมารวมพิจารณากับคดีนี้ ส่วนคดีของโจทก์ที่ศาลอื่น ๆ อีก ๖ ศาล ศาลได้จำหน่ายคดีแล้วเช่นกัน คดีของโจทก์คงเหลือที่ศาลชั้นต้นเพียงศาลเดียว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๔๓ ว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ได้ เพราะว่าคดีของโจทก์คงเหลืออยู่ที่ศาลชั้นต้นเพียงศาลเดียว ให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสาม และให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไป จำเลยทั้งสามได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นและยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๓ ว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ตามพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๔๗๗ และพระธรรมนูญศาลยุติธรรมท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา ๑๘ ให้จำหน่ายคดีของโจทก์จากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๒ และยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามเกี่ยวกับมูลคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปัตตานีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๔๒ ศาลจังหวัดปัตตานีได้ทำการไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๒ ส่วนศาลชั้นต้นก็ได้ทำการไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๒ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๓ ว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๑๘ (เดิม) เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามที่ศาลชั้นต้นเป็นศาลแรกไว้แล้ว ต่อมาโจทก์กลับมาฟ้องจำเลยทั้งสามข้อหาเดียวกันต่อศาลจังหวัดปัตตานี ฟ้องคดีหลังของโจทก์ที่ศาลจังหวัดปัตตานีจึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ อันส่งผลให้คำสั่งประทับฟ้องของศาลจังหวัดปัตตานีไม่ชอบไปด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้เพราะศาลจังหวัดปัตตานีรับประทับฟ้องโจทก์โดยชอบไว้พิจารณาพิพากษาแล้ว ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๑๘ (เดิม) นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เพราะกรณีที่ห้ามมิให้ศาลใดศาลหนึ่งรับคดีซึ่งศาลอื่นได้สั่งรับประทับฟ้องไว้แล้ว ต้องเป็นกรณีที่ศาลอื่นรับประทับฟ้องไว้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น คดีนี้ศาลจังหวัดปัตตานีมีคำสั่งประทับฟ้องไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติพระธรรมนูญศาลยุติธรรมดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นเป็นศาลแรกและศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณาพิพากษา ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๓ ให้จำหน่ายคดีโจทก์และศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายืนมานั้นจึงไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๓ ของศาลชั้นต้น แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป.

Share