คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดว่า ผู้ร้องได้ซื้อและครอบครองเป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาท และได้ฟ้องโจทก์และจำเลยเป็นคดีแพ่ง ขอให้บังคับโจทก์และจำเลยในคดีนี้ดำเนินการจดทะเบียนโอนรถยนต์คันพิพาทให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึง เป็นผู้มีส่วนได้เสียและมีเหตุจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่เป็นการตั้งสิทธิขึ้นมาใหม่เพื่อพิพาทกับคู่ความเดิมจึงเป็นการร้องสอดเข้ามาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ผู้ร้องมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่า ตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดี เรื่องใหม่ ตามมาตรา 58 วรรคแรก และคำร้องสอด ดังกล่าวถือว่าเป็นคำฟ้องตามมาตรา 1(3) ปรากฏว่า ก่อนยื่นคำร้องสอดคดีนี้ ผู้ร้องได้ยื่นฟ้องโจทก์และจำเลย ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลเดียวกันนี้อ้างว่า ผู้ร้องได้ซื้อ และครอบครองเป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทอยู่ในปัจจุบัน ขอให้ดำเนินการจดทะเบียนโอนรถยนต์คันพิพาท ให้แก่ผู้ร้อง อันเป็นประเด็นเดียวกับที่ร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ เมื่อคดีที่ผู้ร้องได้ยื่นฟ้องไว้ก่อนนั้นยังอยู่ในระหว่าง พิจารณา จึงห้ามมิให้ผู้ร้องยื่นคำฟ้องเรื่อง เดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น ตามมาตรา 173(1) การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ เลขทะเบียน ก-9903 นครราชสีมา คืนโจทก์ในสภาพใช้การได้ดีหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นจำนวน 250,000 บาท และค่าเสียหายเป็นเงิน 84,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายอีกเดือนละ 6,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถหรือใช้ราคาแทน รวมทั้งค่าติดตามสืบหาทรัพย์ 2,000 บาท
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดว่า ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อและครอบครองรถคันพิพาทและได้ฟ้องโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดสีคิ้ว ผู้ร้องจำเป็นที่จะให้ศาลบังคับตามสิทธิของผู้ร้องซึ่งมีอยู่ตามสิทธิเรียกร้องในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องดังกล่าวจึงขอเข้าเป็นคู่ความร่วมด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแต่ต่อมาเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบจึงเพิกถอนคำสั่งอนุญาต และมีคำสั่งไม่รับคำร้องสอด
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกาขอให้รับคำร้องสอด
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดว่าผู้ร้องได้ซื้อและครอบครองเป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทอยู่ในปัจจุบันและขณะนี้ได้ฟ้องโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่403/2536 ของศาลจังหวัดสีคิ้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสอง (โจทก์และจำเลยที่ 1 ในคดีนี้) ดำเนินการจดทะเบียนโอนรถยนต์คันพิพาทให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและมีเหตุจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ เป็นการตั้งสิทธิขึ้นมาใหม่เพื่อพิพาทกับคู่ความเดิมจึงเป็นการร้องสอดเข้ามาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ผู้ร้องมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่า ตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ตามมาตรา 58 วรรคแรก และคำร้องสอดดังกล่าวถือว่าเป็นคำฟ้องตามมาตรา 1(3) ปรากฏว่าก่อนยื่นคำร้องสอดผู้ร้องได้ยื่นฟ้องโจทก์และจำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 403/2536 ของศาลจังหวัดสีคิ้ว อ้างว่าผู้ร้องได้ซื้อและครอบครองเป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาทอยู่ในปัจจุบันขอให้ดำเนินการจดทะเบียนโอนรถยนต์คันพิพาทให้แก่ผู้ร้องอันเป็นประเด็นเดียวกับที่ร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ เมื่อคดีที่ผู้ร้องได้ยื่นฟ้องไว้นั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา ผลแห่งการนี้จึงห้ามมิให้ผู้ร้องยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
พิพากษายืน

Share