คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1219/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเจ้าของตึกพิพาทจำเลยที่3เข้าอยู่ในตึก พิพาทโดยเช่าจาก ส.ซึ่งมีเพียงสิทธิจัดหาคนมาทำสัญญาเช่าตึก พิพาทกับ ม. เจ้าของเดิมเท่านั้น จึงเป็นการเช่าจากผู้ไม่มีสิทธิให้เช่า การอยู่ในตึก พิพาทของจำเลยที่ 3 จึงปราศจากเหตุอันจะอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการอยู่โดยละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 3 ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถว 3 ชั้น 1 คูหาเลขที่ 158/112 แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานครจำเลยทั้งสามเข้ามาอยู่ในบ้านดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิอ้างได้ตามกฎหมาย โจทก์ได้แจ้งสิทธิของโจทก์ให้จำเลยทั้งสามทราบแล้วจำเลยทั้งสามยังคงดื้อดึงอยู่ในบ้านโดยปราศจากข้ออ้างเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย เพราะหากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 6,300 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามพร้อมบริวารออกจากบ้านเลขที่ 158/112 ดังกล่าว ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 6,300 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามพร้อมบริวารจะออกจากบ้านของโจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของตึกพิพาท จำเลยที่ 1 ที่ 3 เช่าตึกพิพาทจากผู้มีสิทธิตามกฎหมาย สัญญาเช่ามีผลบังคับ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย โจทก์ไม่เคยแสดงสิทธิในตึกพิพาทให้จำเลยทราบ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยออกจากตึกพิพาท ถือไม่ได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 พร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านเลขที่ 158/112 ซอยวัดเจ้ามูล(จรัญสนิทวงศ์ 8) ถนนเพชรเกษม แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 3,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะออกไปจากบ้านพิพาท
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1ออกจากสารบบความศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกานี้เพียงว่าจำเลยที่ 3 อยู่ในตึกพิพาทเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์เป็นเจ้าของตึกพิพาทตามฟ้อง จำเลยที่ 3 เข้าอยู่โดยเช่าจากนายสง่า ก่อนฟ้องโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 3 ออกไปจากตึกพิพาทแล้ว ดังนี้ เห็นว่าแม้จำเลยที่ 3 จะเข้ามาอยู่ในตึกพิพาทโดยเช่าจากนายสง่า แต่ไม่ปรากฏจากสัญญาก่อสร้างตึกแถวเอกสารหมาย ล.2 และคำพิพากษาตามเอกสารหมาย ล.1 ว่าได้ให้สิทธินายสง่านำตึกพิพาทไปให้เช่าได้แต่อย่างใด คงให้สิทธินายสง่าเพียงจัดหาคนมาทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับนางมรกตเท่านั้น การเช่าของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการเช่าจากผู้ไม่มีสิทธิให้เช่า และจำเลยที่ 3 ก็มิได้เช่าจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของตึกพิพาท สัญญากับคำพิพากษาตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.1ไม่มีผลผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ทั้งจำเลยที่ 3 ก็มิได้เช่าจากนางมรกตซึ่งเป็นเจ้าของเดิมอันอาจจะมีผลผูกพันมาถึงโจทก์ได้การอยู่ในตึกพิพาทของจำเลยที่ 3 จึงปราศจากเหตุอันจะอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมายเป็นการอยู่โดยละเมิดโจทก์ฟ้องขับไล่ได้ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องและยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่ในส่วนค่าเสียหายโจทก์ฎีกาไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 พร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านเลขที่ 158/112 ซอยวัดเจ้ามูล (จรัญสนิทวงศ์ 8)ถนนเพชรเกษม แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานครนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share