แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายที่ดินให้แก่โจทก์แล้วได้มอบที่ดินดังกล่าวให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 จะได้ขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ก็ได้จัดการขอเปลี่ยน น.ส.3 เป็น น.ส.3ก. และโอนให้โจทก์ไป อันถือได้ว่าโจทก์ได้รับโอนที่ดินที่ซื้อจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญาแล้ว จึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์อีก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2522 จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือขายที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 111 ตำบลท่าชี อำเภอบ้านนาสารจังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 21 ไร่ 2 งาน 62 ตารางวา ให้แก่โจทก์ในราคา 32,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบที่ดินที่ขายให้โจทก์และได้รับเงินค่าที่ดินไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 จะจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์หลังจากที่จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองแล้วภายในเวลา 7 เดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2524 จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโดยจำเลยที่ 1 ได้ไถ่ถอนจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วขายให้แก่จำเลยที่ 2 ในวันเดียวกัน โดยรู้ดีว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายที่ดินให้แก่โจทก์ก่อนแล้วในวันที่30 เมษายน 2530 จำเลยที่ 2 ได้โอนที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1951ซึ่งเปลี่ยนมาจาก น.ส.3 เลขที่ 111 ให้โจทก์เป็นเนื้อที่ 9 ไร่2 งาน 28 ตารางวา ส่วนที่ดินส่วนที่ขาดเนื้อที่ประมาณ 12 ไร่34 ตารางวา จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญากับโจทก์ว่า จะโอนที่ดินให้โจทก์ในราวปลายปี 2524 แต่เมื่อถึงกำหนดจำเลยที่ 2 ขอผัดผ่อนเรื่อยมาขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 111ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 โอนที่ดินดังกล่าวกลับคืนเป็นของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาซื้อขาย ให้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษาถ้าจำเลยที่ 1 ไม่จดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 111 ที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายให้โจทก์นั้น จำเลยที่ 1 ขายที่ดินให้โจทก์เพียงแต่ชี้แนวเขตที่ดินตามที่ได้ซื้อมาจากนายเชื้อให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ ต่อมาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2524 จำเลยที่ 1ได้ตกลงขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 231 ซึ่งอยู่ติดต่อกับที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 และได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในการยื่นคำขอเปลี่ยน น.ส.3 เลขที่ 111 เป็น น.ส.3 ก. แล้วจัดการโอนให้โจทก์ตามสัญญาซื้อขาย ในการรังวัดที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 111เพื่อออก น.ส.3 ก. นั้น คำนวณเนื้อที่ดินได้เพียง 9 ไร่ 2 งาน28 ตารางวา โจทก์ไม่คัดค้าน พนักงานที่ดินจึงได้ออก น.ส.3 ก.เลขที่ 1951 ให้และจำเลยที่ 2 ก็ได้โอนที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 1951 ให้แก่โจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านฟังเป็นยุติตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 111 ให้แก่โจทก์โดยยังมิได้จดทะเบียนโอนให้แก่กันเนื่องจากที่ดินดังกล่าวจำนองไว้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แต่จำเลยที่ 1 ได้มอบที่ดินให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่วันทำสัญญา หลังจากทำสัญญากันแล้วจำเลยที่ 1ไม่ได้โอนที่ดินให้โจทก์ตามกำหนดในสัญญา ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ไถ่ถอนจำนองและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนี้กับที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 231 ให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้ขอเปลี่ยน น.ส.3เลขที่ 111 เดิมเป็น น.ส.3 ก. เลขที่ 1951 แล้วได้โอนให้แก่โจทก์ในการรังวัดที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 111 เดิม เพื่อเปลี่ยนเป็นน.ส.3 ก. เลขที่ 1951 นั้นปรากฏว่าที่ดินมีเนื้อที่เพียง 9 ไร่เศษได้ความดังกล่าวเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว ได้มอบที่ดินดังกล่าวให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 จะได้ขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 2แต่จำเลยที่ 2 ก็ได้จัดการขอเปลี่ยน น.ส.3 เลขที่ 111 เดิมเป็นน.ส.3 ก. เลขที่ 1951 ซึ่งจากการรังวัดเอกสารที่เจ้าพนักงานรับรองกรณีจึงเป็นการเพียงพอที่ศาลจะรับฟังสำเนาเอกสารเหล่านี้ได้ โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 238 แล้ว
สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยทั้งสองกับพวกหลอกลวงพวกผู้เสียหายและผู้ที่จะสมัครไปทำงานว่า บริษัทบางกอกอินเตอร์คอนติเนนตัล เซอร์วิสจำกัด สามารถจัดส่งคนไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ได้ จนพวกผู้เสียหายและผู้ที่จะสมัครไปทำงานหลงเชื่อและสมัครไปทำงานกับจำเลยที่ 1โดยบริษัทดังกล่าวและจำเลยทั้งสองกับพวกไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองย่อมเป็นการประกอบธุรกิจหางานให้แก่คนงานหรือหาลูกจ้างให้แก่นายจ้างอันเป็นการจัดหางานตามความหมายของพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 4แล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองได้กระทำการดังกล่าวโดยรู้สำนึกในการกระทำและขณะเดียวกันก็ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำความผิดในฐานนี้อีกกระทงหนึ่ง ทั้งตามคำฟ้องคดีนี้โจทก์ก็ได้บรรยายแยกการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นสองตอนและไม่มีข้อความตอนใดแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาที่จะจัดหางานให้แก่พวกผู้เสียหายอันจะถือว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองตามฟ้องไม่เป็นความผิดในฐานนี้ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7, 27 วรรคแรกให้จำคุกคนละ 1 เดือน อีกกระทงหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.