แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในระหว่างพิจารณา ศาลสั่งยกคำร้องในเรื่องข้อตัดฟ้องของจำเลย ๆแถลงว่า ยังติดใจคัดค้านและขอสงวนสิทธิเพื่ออุทธรณ์ แล้วจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาล ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำแถลงว่าพอใจคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลแล้วจึงขอค่าธรรมเนียมคืน ดังนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยพอใจในการสั่งของศาล ไม่ใช่พอใจที่จะไม่อุทธรณ์ เมื่อศาลพิพากษาคดีแล้ว จำเลยย่อมอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้นได้ เพราะจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งไว้ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 226(2) แล้ว
เมื่อความปรากฎว่าจำเลยเป็นผู้เยาว์ ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 1(12) กรณีก็ต้องตามมาตรา 56 การที่ผู้แทนโดยชอบธรรมจะให้อนุญาตหรือยินยอมแต่ผู้เยาว์ ที่จะดำเนินคดีหรือไม่เป็นอำนาจของผู้แทนโดยชอบธรรม ศาลไม่มีอำนาจบังคับผู้แทนโดยชอบธรรมให้ดำเนินคดีแทนผู้เยาว์
การหมายเรียกตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 57(3) เป็นการหมายเรียกให้เข้ามาเป็นคู่ความ ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ในการดำเนินคดี หรือไม่เข้าดำเนินคดีแทนผู้เยาว์ตามที่ควรศาลจะตั้งผู้แทนฉะเพาะคดีให้ตามมาตรา 56 วรรคท้าย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็ไม่ได้ เพราะเป็นบทบัญญัติฉะเพาะแต่ในกรณีไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้แทนโดยชอบธรรมทำหน้าที่ไม่ได้ แต่ถ้าในกรณีที่บิดาเป็นผู้ปกครองและไม่ยอมให้คำยินยอมเช่นนี้ ผู้เยาว์อาจขอต่อศาลให้รอคดีไว้หรือศาลสั่งรอไว้เองก็ได้ โดยให้ผู้เยาว์ไปหาญาติสนิท ดำเนินการตามมาตรา 1552 ป.ม.แพ่ง ฯ ถอนอำนาจบิดาในส่วนนี้ฐานใช้อำนาจปกครองโดยมิชอบเสียก่อนได้
ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 56 ไม่ได้ห้ามไม่ให้ฟ้องผู้เยาว์ เป็นแต่ว่าถ้าถูกฟ้อง ผู้เยาว์จะดำเนินคดีไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทนโดยชอบธรรม เข้าดำเนินคดีแทนเสียทีเดียว ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ระวังผลประโยชน์ของผู้เยาว์ ก็ไม่ใช่ความผิดของโจทก์ จะบังคับโจทก์ไม่ได้ ศาลจึงชอบที่จะคอยระวังผลประโยชน์ของผู้เยาว์ให้ตามสมควร เพื่อรักษาประโยชน์ของผู้เยาว์ศาลอาจจะแจ้งไปยังพนักงานอัยยการเพื่อพิจารณาและดำเนินการตามมาตรา 1552 นี้ก็ได้เมื่อมีการถอนอำนาจแล้ว ก็เป็นหน้าที่ที่จะใช้มาตรา 56 วรรคท้ายได้ แต่ศาลจะหมายเรียกผู้แทนโดยชอบธรรม ให้เข้ามาแก้คดีแทนผู้เยาว์นั้นหามีกฎหมายสนับสนุนไม่
การบังคับคดีเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้น การที่ขอให้ศาลอุทธรณ์ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่ให้ทุเลา ก็หมายความว่าไม่ให้ถือเอาการอุทธรณ์เป็นการทุเลาการบังคับ แม้จะมีการอุทธรณ์ ก็ให้ศาลล่างดำเนินการบังคับคดีต่อไป ตามอำนาจที่ศาลชั้นต้นมีอยู่ในเรื่องการบังคับคดี ไม่ใช่ว่าถ้าศาลอุทธรณ์ไม่ให้ทุเลาแล้ว ก็เป็นการบังคับศาลชั้นต้นให้บังคับคดีโดยตัดอำนาจที่ศาลชั้นต้นมีอยู่ในเรื่องบังคับคดีเสียเลย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยส่งบุตรสาวโจทก์อายุ 18 ปี ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาบุตรสาวโจทก์บรรลุนิติภาวะแล้ว ศาลฎีกาชอบที่จะจำหน่ายคดีเสียแม้กรณีไม่ต้องด้วย ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 132 ศาลฎีกาก็ยังจำหน่ายคดีได้
ถ้าหากไม่มีประโยชน์ที่ศาลจะชี้ขาดแล้วเช่นคดีนี้ แต่คดีนี้ศาลล่างดำเนินการพิจารณามาสับสน จะเพียงแต่จำหน่ายคดี โดยให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คงไว้ หาชอบไม่ ทั้งจะให้ศาลล่างพิจารณาใหม่ก็ไม่ได้ เพราะบุตรสาวโจทก์ที่ฟ้องเรียกคืนบรรลุนิติภาวะแล้ว เช่นนี้ ศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง และให้จำหน่ายคดีเสีย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ลักพานางสาวเซ็กโหงว อายุย่าง ๑๘ ปีไปจากความปกครองของโจทก์ในทางชู้สาว นางสาวเซ้กโหงวได้เอาทรัพย์ของโจทก์ไปด้วย จึงขอให้จำเลยส่งตัวนางสาวเซ็กโหงวและส่งทรัพย์คืนหรือใช้ราคา จำเลยต่อสู้ว่า มิได้ลักพานางสาวเซ็กโหงวไปจากความปกครองของโจทก์ นางสาวเซ็กโหงวไปหาจำเลยที่บ้านเองและไม่ยอมกลับ จำเลยไม่ได้หน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ บัดนี้นางสาวเซ้กโหงวมีความกลัว จึงหนีไปแล้วก่อนโจทก์ฟ้อง นางสาวเซ็กโหงวไม่ปรากฎว่ามีทรัพย์ติดตัวมา ศาลแพ่งกิจารณาไปทางแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยมีอายุไม่ครบ ๒๐ ปี และยังไม่ได้ทำการสมรส เป็นบุคคลไม่มีความสามารถ แต่เพื่อมิให้คดีล่าช้า ศาลเห็นสมควรให้ดำเนินคดีต่อไป และให้จัดการเรียกนายเต็กบิดาจำเลยมาเพื่ออนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีก่อนศาลพิพากษา แล้วศาลสืบพะยานโจทก์ต่อไป เสร็จแล้วนัดสืบพะยานจำเลย
วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๔๘๙ นายเต็กแถลงยืนยันที่จะไม่ให้ความยินยอมให้จำเลยดำเนินคดีตามกฎหมาย ศาลแพ่งมีคำสั่งว่า การดำเนินคดีมาแล้วมีข้อหาบกพร่องในความสามารถ จึงให้เพิกถอนบรรดากระบวนพิจารณานับตั้งแต่คำให้การจำเลยตลอดมา และให้จำเลยยื่นคำให้การใหม่ภายใน ๘ วัน จำเลยยื่นคำให้การใหม่มีข้อความทำนองเดียวกับคำให้การฉะบับก่อน แต่กล่าวไว้ด้วยว่าบิดาจำเลยไม่ยินยอมให้จำเลยดำเนินคดี ศาลจึงไม่รับคำให้การจำเลย เพราะจำเลยไม่มีความสามารถ
โจทก์ยื่นคำร้อง ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๔๙๑ ว่า นายเต็กบิดาจำเลยต้องรับผิดร่วมกับจำเลย โจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องเรียกนายเต็กมาเป็นจำเลยแทน ศาลสั่งให้หมายเรียก รุ่งขึ้นศาลแพ่งได้ออกหมายเรียกให้โดยหมายถึงนายเต็ก แซ่โค้วจำเลย ไม่ได้หมายเรียกในฐานเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของนายซุ่นไล้ และในช่องชื่อขงจำเลยในหมายก็ใส่ว่า นายซุ่นไล้ แซ่โค้ว กับพวกจำเลย.
นายเต็ก แซ่โค้วให้การต่อว่า เป็นบิดาและผู้ปกครองของจำเลย จำเลยยังไม่บรรลุนิติภาวะ โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกนายเต็กเข้ามาเป็นจำเลยแทน เพราะจำเลยต้องรับผิดเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว
ในวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๘๙ นายเต็กในฐานะผู้ปกครองของนายซุ่นไล้ผู้เยาว์ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยข้อตัดฟ้องในคำให้การของจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยแทนนายซุ่นไล้ เพราะตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๔๒๙ จำเลยต้องรับผิดเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว ศาลแพ่งมีคำสั่งว่า นายซุ่นไล้เป็นผู้เยาว์ไม่สามารถดำเนินคดีโดยลำพังได้ ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๕๖ จะต้องให้ผู้แทนโดยชอบธรรมดำเนินกระบวนพิจารณาแทน ที่ศาลเรียกนายเต็กเข้ามาในคดีเพราะเป็นบิดานายซุ่นไล้จำเลย ในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม หาใช่ฐานะส่วนตัวไม่ จึงให้ยกคำร้อง นายเต็กได้โต้แย้งคำสั่งแล้วยื่นฟ้องอุทธรณ์คำสั่งนี้ ศาลแพ่ลสั่งไม่รับเพราะเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
ในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๔๘๙ นายเต็กยื่นคำแถลงว่า พอใจในคำสั่งของศาลแพ่งที่ไม่รับอุทธรณ์ และขอคืนค่าธรรมเนียม
เมื่อพิจารณาแล้ว ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยส่งตัวนางสาวเซ็กโหงว กับทรัพย์ให้แก่โจทก์
นายซุ่นไล้และนายเต็กอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับคดี
ในระหว่างอุทธรณ์ โจทก์นำยึดทรัพย์ของนายเต็ก ศาลแพ่งเห็นว่า นายเต็กเข้ามาเป็นจำเลยในคดีโดยตามหมายเรียกเข้ามาดำเนินกระบวนพิจารณาแทนนายซุ่นไล้ผู้เยาว์ หาได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับนายซุ่นไล้ไม่ จึงให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
ศาลอุทธรณ์สั่งไม่ให้ทุเลาการบังคับคดี
นายเต็กยื่นคำร้องว่า นางสาวเซ็กโหงวไปอยู่กับนายฮวด จำเลยไปเอาตัวมา นางสาวเซ็กโหงวก็ไม่ยอม นางสาวเซ็กโหงวจะไปอยู่กับโจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับตัวไปเอง ศาลแพ่งไต่สวนแล้วเห็นว่า โจทก์เป็นฝ่ายไม่ยินดีรับตัวบุตรสาว จึงไม่มีเหตุอะไรจะบังคับให้ส่งตัวอีก
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลแพ่ง ส่วนข้อที่นายเต็กอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ฉะเพาะข้อที่บังคับจำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์โดยยกข้อนี้เสีย นอกนั้นยืน ส่วนข้อที่โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ได้ยกคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีแล้ว ชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เด็ดขาดไปทีเดียว จึงให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นเสีย
นายซุ่นไล้ โดยนายเต็กผู้แทนโดยชอบธรรมฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นในข้อที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจเรียกนายเต็กเข้ามาเป็นจำเลยแทนผู้เยาว์และในข้อที่ส่งตัวนางสาวเซ็กโหงว
นายเต็กผู้แทนโดยชอบธรรมของนายซุ่นไล้จำเลย ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำสั่งของศาลแพ่งที่ให้งดการบังคับคดี และให้ศาลแพ่งดำเนินการบังคับคดีไปให้เด็ดขาด
ศาลฎีกาเห็นว่า ในข้อที่นายเต็กคัดค้านว่า โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกนายเต็กมาเป็นจำเลยแทนผู้เยาว์ และศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ถอนอุทธรณ์พอใจแล้ว จึงอุทธรณ์อีกไม่ได้ตามมาตรา ๒๒๖(๒) ป.ม.วิ.แพ่ง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยนายเต็กได้ร้องในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๔๙๐ ว่าพอใจในการสั่งของศาลที่ไม่สั่งรับอุทธรณ์ ไม่ใช่พอใจที่จะไม่อุทธรณ์ ฉะนั้นเมื่อศาลแพ่งพิพากษาคดีแล้ว นายเต็กก็ยังอุทธรณ์ได้อยู่ เพราะได้คัดค้านคำสั่งศาลแพ่งไว้ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๒๒๖(๒) แล้ว.
เมื่อความปรากฎว่านายซุ่นไล้จำเลยเป็นผู้เยาว์ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑(๑๒) แล้ว กรณีก็ต้องตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๕๖ ศาลแพ่งได้สอบถามนายเต็กซึ่งเป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของจำเลย นายเต็กไม่ยอมให้ความยินยอม โจทก์จึงยื่นคำร้องลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๔๙๑ อ้าง ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๔๒๙ ขอให้เรียกนายเต็ก แซ่โค้ว มาเป็นจำเลย แทนจำเลยในคดีนี้ ในฐานะที่นายเต็กเป็นบิดาปกครองจำเลยอยู่ จึงเป็นคำร้องขอให้ศาลเรียกนายเต็กเข้ามาเป็นจำเลยแทนจำเลยเดิม ไม่ใช่ให้เรียกนายเต็กเข้ามาเพื่อดำเนินคดีแทนนายซุ่นไล้ในฐานเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ฉะนั้นเมื่อศาลส่งหมายเรียกให้ จึงต้องเข้าใจว่า เรียกเข้ามาเป็นจำเลย ในหมายก็เป็นหมายเรียกให้แก้คดีโดยกล่าวว่านายเต็ก แซ่โค้ว เป็นจำเลย แต่เมื่อนายเต็กยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๔๘๙ ศาลแพ่งกลับสั่งว่าศาลเรียกนายเต็กเข้ามาเพื่อเป็นบิดาจำเลย หาใช่ในฐานะส่วนตัวไม่ เมื่อจำเลยแพ้คดี โจทก์นำยึดทรัพย์ของนายเต็กศาลแพ่งก็สั่งว่านายเต็กไม่ใช่จำเลย ยึดทรัพย์ของนายเต็กไม่ได้ แต่เมื่ออุทธรณ์นายซุ่นไล้กับนายเต็กอุทธรณ์ทั้งสองคน ศาลอุทธรณ์สั่งรับอุทธรณ์ ในชั้นฎีกา นายเต็กฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้ดำเนินการบังคับคดี ศาลแพ่งก็สั่งรับฎีกาของนายเต็กอีก รวมความว่าโจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกนายเต็กมาเป็นจำเลยแทนนายซุ่นไล้ เพราะนายเต็กต้องรับผิดร่วมกับนายซุ่นไล้ ตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๔๒๙ ศาลแพ่งกลับถือว่านายเต็กเข้ามาในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของนายซุ่นไล้ ไม่ใช่เข้ามาเป็นจำเลย เมื่อเข้ามาในคดีแต่ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม ไม่ใช่เป็นคู่ความด้วย ก็ไม่อาจที่จะอุทธรณ์ฎีกาในท้องเรื่องในฐานะส่วนตัวได้ เรื่องที่เป็นมาจึงยังสับสนกันอยู่ ตามตัวบทกฎหมายการที่ผู้แทนโดยชอบธรรมจะให้อนุญาตหรือยินยอมแก่ผู้เยาว์ที่จะดำเนินคดีหรือไม่ เป็นอำนาจของผู้แทนโดยชอบธรรม ศาลไม่มีอำนาจหมายเรียกเข้ามาในคดีฐานเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของคู่ความให้มาดำเนินแทนผู้เยาว์ การหมายเรียกตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๕๗(๓) เป็นการหมายเรียกให้เข้ามาเป็นคู่ความ (ดูถ้อยคำในตอนท้ายของมาตรา ๕๗) ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ในการดำเนินคดี หรือไม่เข้าดำเนินคดีแทนผู้เยาว์ตามที่ควร ศาลจะตั้งผู้แทนฉะเพาะคดีให้ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา ๕๖ วรรคท้ายก็ไม่ได้ เพราะเป็นบทบัญญัติฉะเพาะแต่ในกรณีไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้แทนโดยชอบธรรมทำหน้าที่ไม่ได้ แต่ถ้าในกรณีที่บิดาเป็นผู้ปกครองดังเช่นคดีนี้ ผู้เขาว์อาจขอต่อศาลให้รอคดีไว้ หรือศาลสั่งรอไว้เองก็ได้ โดยให้ผู้เยาว์ไปหาญาติสนิทมาดำเนินการตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๕๕๒ ถอนอำนาจบิดาในส่วนนี้ ฐานใช้อำนาจปกครองโดยมิชอบเสียก่อน ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา ๕๖ ไม่ได้ห้ามไม่ให้ฟ้องผู้เยาว์เป็นแต่ว่าถ้าถูกฟ้อง ผู้เยาว์จะดำเนินคดีไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับคำยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้แทนโดยชอบธรรมเข้าดำเนินคดีแทนเสียทีเดียว แต่ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ระวังผลประโยชน์ของผู้เยาว์ ก็ไม่ใช่ความผิดของโจทก์จะบังคับคดีโจทก์เขาไม่ได้ ศาลจึงชอบที่จะคอยระวังผลประโยชน์ของผู้เยาว์ให้ตามสมควร มิฉะนั้นเมื่อถูกฟ้องแล้ว ผู้เยาว์อาจต้องแพ้คดีเพราะผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ให้ความยินยอมก็ได้ ฉะนั้นถ้าศาลเห็นสมควรเพื่อรักษาประโยชน์ของผู้เยาว์ ศาลอาจจะแจ้งไปยังพนักงานอัยยการ เพื่อพิจารณาและดำเนินการตามมาตรา ๑๕๕๒ นี้ก็ได้ เมื่อมีการถอนอำนาจแล้ว ก็เป็นหน้าที่ที่จะใช้มาตรา ๕๖ วรรคท้ายได้ แต่ที่ศาลจะหมายเรียกผู้แทนโดยชอบธรรมให้มาแก้คดีแทนผู้เยาว์ในฐานะเป็นผู้แทนโดยขอบธรรมนั้น หามีกฎหมายสนับสนุนไม่
ส่วนเรื่องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเมื่อศาลอุทธรณ์ไม่ให้ทุเลาการบังคับแล้ว ก็ชอบที่ศาลแพ่งจะดำเนินการบังคับไปถึงที่สุดนั้น ศาลฎีกาอธิบายว่า การบังคับคดีเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ส่วนการทุเลาการบังคับที่เป็นปัญหาในคดีนี้นั้น เป็นแต่เพียงว่าขอให้ศาลอุทธรณ์ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่ให้ทุเลา ก็หมายความว่า ไม่ให้ถอืเอาการอุทธรณ์เป็นการทุเลาการบังคับ แม้จะมีอุทธรณ์ให้ศาลล่างดำเนินการบังคับคดีต่อไป ส่วนศาลชั้นต้นจะดำเนินการบังคับคดีอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของศาลชั้นต้นตามอำนาจที่ ป.ม.วิ.แพ่งให้ไว้ ไม่ใช่ว่าการที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับ เป็นการบังคับศาลชั้นต้นให้บังคับคดีโดยตัดอำนาจศาลชั้นต้นที่มีอยู่ในการบังคับคดีเสียเลย
อย่างไรก็ดี เวลานี้นางสาวเซ็กโหงวบรรลุนิตภาวะแล้ว เพราะอายุย่างเข้า ๒๑ ปีแล้ว แม้ในเวลาศาลอุทธรณ์พิพากษา นางสาวเซ็กโหงวจะยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ดี แต่เมื่อบัดนี้นางสาวเซ็กโหงวบรรลุนิติภาวะแล้ว ประกอบทั้งประเด็นในเรื่องทรัพย์ก็มิได้ขึ้นมาสู่ศาลฎีกา จึงไม่มีประโยชน์อันใดที่ศาลฎีกาจะพิพากษาบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ ปรกติคดีเช่นนี้ศาลฎีากชอบที่จะจำหน่ายคดีเสีย แม้กรณีจะไม่ต้องด้วย ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๗๒ ศาลฎีกาก็ยังจำหน่ายได้ เพราะการจำหน่ายคดีนั้นไม่ใช่ว่าศาลจะจำหน่ายได้ฉะเพาะกรณีเข้ามาตรา ๑๗๒ เท่านั้น ถ้าหากไม่มีประโยชน์ที่ศาลจะชี้ขาดแล้ว เช่นอย่างในคดีนี้เป็นต้น ศาลก็จำต้องจำหน่าย แต่คดีนี้ศาลล่างได้ดำเนินการพิจารณามาสับสนกันอยู่ดังกล่าวแล้วข้างต้น จะเพียงแต่จำหน่ายคดีโดยให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คงไว้ หาชอบไม่ แต่จะให้ศาลล่างดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่ก็ไม่ได้ โดยนางสาวเซ็กโหงวบรรลุนิติภาวะแล้ว จึงพร้อมกันพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง ให้จำหน่ายคดีนี้ออกเสียจากสารบบความ