คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1213/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ได้รับรถแทรกเตอร์ที่ให้เช่าซื้อคืนเมื่อวันที่ 24ธันวาคม 2528 เพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาในสัญญา และจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนโจทก์ เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจที่จะเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยายนับแต่วันที่โจทก์รับรถคืน คู่สัญญาจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิม เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ใช้รถแทรกเตอร์ที่เช่าซื้อมาตั้งแต่วันที่ทำสัญญาเช่าซื้อ คือ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2527 จนถึงวันที่ 24ธันวาคม 2528 โดยชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียงบางส่วน โจทก์ย่อมเสียหายเนื่องจากไม่ได้ใช้รถแทรกเตอร์ในระยะเวลานั้น จำเลยที่ 1จึงต้องชดใช้ค่าใช้ทรัพย์ดังกล่าวให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อรถแทรกเตอร์ 1 คัน ราคา434,000 บาท จากโจทก์และได้ชำระค่าเช่าซื้อบางส่วนจำนวน 50,000บาท ส่วนที่เหลือให้จำเลยผ่อนชำระเดือนละงวด งวดละ 32,000 บาทเริ่มชำระงวดแรกในวันที่ 5 มกราคม 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จหากจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระ 2 งวดติดต่อกันถือว่าผิดนัดทั้งหมดโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์เพียง 5 งวด ผิดนัดไม่ชำระตั้งแต่งวด วันที่ 5 มิถุนายน 2528 เป็นต้นมา จนถึงวันที่ 24ธันวาคม 2528 จำเลยที่ 1 ส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกัน โจทก์ขอใช้สิทธิเรียกค่าใช้ทรัพย์ที่เช่าซื้อของจำเลยที่ 1 ในระหว่างผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2528 จนถึงวันที่ 24 ธันวาคม2528 คิดเพียงเดือนละ 20,000 บาท เป็นเวลา 6 เดือน เป็นเงิน120,000 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 120,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าใช้รถที่ให้เช่าซื้อตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 6 คือ วันที่ 5 มิถุนายน 2528 ถึงวันที่ 24 ธันวาคม2528 อันเป็นวันที่โจทก์รับรถที่ให้เช่าซื้อคืนจากจำเลยที่ 1แต่ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวสัญญาเช่าซื้อนั้นยังไม่ระงับไปเพราะเหตุแห่งการผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ทั้งนี้เพราะคู่สัญญาไม่ได้ถือเอาการผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญแห่งสัญญา โจทก์ยังมิได้ใช้สิทธิเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 ยังไม่มีหน้าที่ที่จะต้องส่งมอบรถแทรกเตอร์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ให้เช่าซื้อ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงพ้นความรับผิดไปด้วยนั้น เห็นว่า การที่โจทก์ได้รับรถที่ให้เช่าซื้อคืนเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2528 เพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนดเวลาในสัญญา และจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนโจทก์ และโจทก์ได้รับคืนไว้เรียบร้อยแล้วนั้น เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1ต่างสมัครใจที่จะเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยายนับแต่วันที่โจทก์รับรถดังกล่าวคืน คู่สัญญาจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิม ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ใช้รถแทรกเตอร์ที่เช่าซื้อมาตั้งแต่วันที่ทำสัญญาเช่าซื้อ คือ วันที่ 28 พฤศจิกายน2527 จนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2528 โดยชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียงบางส่วน เห็นได้ว่าโจทก์ย่อมเสียหายเนื่องจากไม่ได้ใช้รถแทรกเตอร์ในระยะเวลานั้น จำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้ค่าใช้ทรัพย์ดังกล่าวให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสามจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันซึ่งยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.4 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share