คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12104/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่าทนายความเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ชำระค่าทนายความจำนวน 150,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 จึงเป็นหลักเกณฑ์เคร่งครัดที่โจทก์ผู้ยื่นฎีกาจะต้องปฏิบัติตาม เพราะมิใช่หนี้ตามคำพิพากษาในเนื้อหาแห่งคดี ที่โจทก์จะพึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับตาม ป.วิ.พ. มาตรา 231 วรรคหนึ่ง
โจทก์ยื่นฎีกาโดยจงใจนำเพียงค่าขึ้นศาลตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นอุทธรณ์มาวางศาลพร้อมกับฎีกา เป็นการฝ่าฝืนต่อหลักเกณฑ์ที่บทบัญญัติมาตรา 229 กำหนดไว้ จึงเป็นการยื่นฎีกาโดยมิชอบ ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับฎีกาได้ทันที เพราะมิใช่กรณีโจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาไม่ครบถ้วนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นซึ่งมีหน้าที่ตรวจคำคู่ความจะต้องมีคำสั่งให้โจทก์ชำระให้ครบถ้วนเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 23 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน จำนวน 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 23 ร่วมกันหรือแทนกันโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์ รายวันเป็นเวลา 15 วันติดต่อกัน โดยให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 23 เป็นผู้ชำระค่าโฆษณาทั้งหมดและขอให้มีคำสั่งห้ามจำเลยที่ 3 ถึงที่ 23 ประกอบอาชีพนักหนังสือพิมพ์และบริหารงานหนังสือพิมพ์รายวันข่าวสดและหนังสือพิมพ์รายวันมติชนมีกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไป
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 23 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (13 มีนาคม 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยที่ 1 โฆษณาคำพิพากษาโดยย่อใจความสำคัญในหนังสือพิมพ์มีกำหนดฉบับละ 2 วัน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดเป็นค่าทนายความให้ 100,000 บาท คำขออื่นในส่วนของจำเลยที่ 1 ให้ยก ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 23 ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 23 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยที่ 1 สำหรับค่าธรรมเนียมศาลที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้น ให้โจทก์นำมาชำระต่อศาลในนามของจำเลยที่ 1 โดยกำหนดค่าทนายความรวม 150,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาและยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับสำหรับค่าทนายความจำนวน 150,000 บาท
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยยื่นฎีกาภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาฎีกาพร้อมกับชำระค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาจำนวน 25,000 บาท กับนำเงินจำนวน 25,000 บาท ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียม (ค่าขึ้นศาล) ในชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์มาวางศาลตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่สำหรับค่าทนายความจำนวน 150,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ต้องชำระให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์มิได้ชำระทั้งๆที่พนักงานรับฟ้องได้สอบถามเสมียนทนายความโจทก์ซึ่งได้รับมอบฉันทะจากทนายความโจทก์ไปยื่นฎีกา ทนายความโจทก์คงยืนยันไม่วางเงินค่าทนายความจำเลย 150,000 บาท ดังกล่าว ในวันเดียวกันกับที่ยื่นฎีกาคือวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549 วันรุ่งขึ้นศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ ต่อมาจำเลยยื่นคัดค้านการขอทุเลาการบังคับของโจทก์ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 247 ประกอบมาตรา 229 คู่ความฝ่ายที่ยื่นฎีกาจะต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาวางศาลพร้อมกับฎีกานั้นด้วยและตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ความรับผิดในชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงตกแก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีเว้นแต่ศาลจะใช้อำนาจมีดุลพินิจเป็นประการอื่นกับตามมาตรา 161 วรรคสอง กฏหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่มีการฟ้องคดีนี้บัญญัติให้ค่าทนายความเป็นค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งหมายความทั้งเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งตามมาตรา 229 ด้วย ดังนี้ ค่าทนายความจำนวน 150,000 บาท ที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยที่ 1 จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์สำหรับความรับผิดในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม อีกทั้งเป็นหลักเกณฑ์เคร่งครัดที่โจทก์ผู้ยื่นฎีกาจะต้องปฎิบัติตามบทบัญญัติมาตรา 229 เพราะหาใช่หนี้ตามคำพิพากษาในเนื้อหาคดีอันโจทก์จะพึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 วรรคหนึ่งได้ไม่ การที่โจทก์ยื่นฎีกาโดยจงใจนำเพียงค่าธรรมเนียม (ค่าขึ้นศาล) ตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์มาวางศาลตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมกับฎีกา อันเป็นการฝ่าฝืนต่อหลักเกณฑ์ที่บทบัญญัติมาตรา 229 กำหนดไว้จึงเป็นการยื่นฎีกาโดยมิชอบ ศาลชั้นต้นชอบที่จะต้องใช้อำนาจมีคำสั่งไม่รับฎีกาได้ทันทีเพราะมิใช่กรณีโจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาไม่ครบถ้วน ศาลชั้นต้นซึ่งมีหน้าที่ตรวจคำคู่ความจะต้องมีคำสั่งให้โจทก์ชำระให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาตามที่เห็นสมควรเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสอง ฉะนั้น แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกคำร้องขอทุเลาการบังคับ ค่าคำร้องให้เป็นพับ และยกฎีกาของโจทก์ ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่โจทก์ ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share