คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1210/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกับชายชาวต่างประเทศอีก 1 คน เดินมาด้วยกันชายชาวต่างประเทศเข้ามายืนคุยกับผู้เสียหายซึ่งอยู่ในร้านเพียงคนเดียวและหันหลังให้ทางเข้าร้าน ขณะที่ยืนคุยนั้นผู้เสียหายไม่เห็นจำเลยโดยมีการเบนความสนใจของผู้เสียหายจากสิ่งอื่น ๆ ให้มาอยู่กับชาวต่างประเทศโดยใช้ภาษาต่างประเทศที่ผู้เสียหายไม่เข้าใจ แล้วจำเลยแอบเข้าไปในร้านของผู้เสียหายลักทรัพย์กระเป๋าหนังของกลางน่าเชื่อว่าจำเลยกับชายชาวต่างประเทศดังกล่าววางแผนสมคบกัน ในการลักทรัพย์ของผู้เสียหาย กระเป๋าหนังของกลางที่จำเลยกับพวกร่วมกันลักไปมีราคาสูง พฤติการณ์การกระทำของจำเลยมีการวางแผนการ แบ่งหน้าที่ กันทำและเป็นการลักทรัพย์ในงานแสดงสินค้าที่มีคนพลุกพล่าน อันเป็นภัยแก่สาธารณชนทั่วไป สมควรลงโทษเพื่อยับยั้ง มิให้เกิดการกระทำความผิดอย่างเดียวกันขึ้นมาอีกโดยไม่รอการลงโทษ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 335 คืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 355(7) วรรคแรก แต่จำเลยไม่ได้ทรัพย์ของผู้เสียหายไป สมควรลงโทษสถานเบา ให้จำคุก 2 ปี คืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335(7) วรรคแรก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ โจทก์มีนายประวิทย์ วิมลาภิรัต ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความว่า วันเกิดเหตุเป็นวันสุดท้ายของงานแสดงสินค้าอัญมณี ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเก็บอัญมณีที่วางขายกลับบริษัทหมดแล้วและปิดร้านโดยนำเก้าอี้ 4 ตัว มาขวางทางเข้าร้านซึ่งกว้างประมาณ 1 ถึง 1.20 เมตร ไว้ ภายในร้านยังคงเหลือเพียงกระเป๋าหนัง 8 ใบ รวมทั้งกระเป๋าหนังของกลางซึ่งใส่ถาดสำหรับใส่แหวนและสร้อยคอวางกองอยู่รวมกันอยู่ลึกเข้ามาจากทางเข้าร้านประมาณ 1 ถึง 2 เมตร ผู้เสียหายนั่งอยู่ในร้านทางมุมซ้าย จำเลยกับชายชาวต่างประเทศอีก 1 คน เดินผ่านร้านของผู้เสียหายจากมุมซ้ายไปยังมุมขวาเลยไปสักครู่หนึ่ง แล้วชาวต่างประเทศคนดังกล่าวเดินกลับมาคุยกับผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายยืนหันหน้าไปทางซ้ายและหันหลังให้ทางเข้าร้าน คุยกันประมาณ 1 นาที แต่ผู้เสียหายฟังไม่เข้าใจเพราะมิได้พูดคุยโดยใช้ภาษาอังกฤษ ผู้เสียหายจึงหันหลังกลับไปหยิบนามบัตรของบริษัทซึ่งวางอยู่ที่เคาน์เตอร์แสดงสินค้า เห็นจำเลยหยิบกระเป๋าหนังของกลางซึ่งมีลักษณะพิเศษกว่ากระเป๋าหนังใบอื่นย้ายจากที่เดิมและจะเดินออกจากร้าน เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายมองมาจึงรีบวางกระเป๋าหนังของกลางลงกับพื้นห่างจากกองกระเป๋าเดิมประมาณ3 ฟุต ชูมือขึ้น 2 ข้างระดับหน้าอกและสั่นไปมาเป็นทำนองว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเดินไปร้านตรงกันข้ามกับร้านของผู้เสียหายส่วนชายชาวต่างประเทศคนที่เข้ามาคุยกับผู้เสียหายยกมือไหว้ผู้เสียหายแล้วรีบเดินหนีไป ผู้เสียหายจึงเดินออกจากร้านไปเรียกสารวัตรทหารซึ่งทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาควบคุมตัวจำเลยไปที่ศูนย์รักษาความปลอดภัย นอกจากนี้โจทก์ยังมีพลทหารปทีป สุวรรณศร สารวัตรทหารผู้ควบคุมตัวจำเลยมาเบิกความเป็นพยานว่าวันเกิดเหตุพยานปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยในศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ ในเวลาประมาณ 17 นาฬิกา จำเลยกับชายอีกคนหนึ่งเดินห่าง ๆ กันเลี้ยวมาทางเข้าด้านซ้ายของประตูใหญ่ ชายที่มากับจำเลยเกินเลยมาพูดกับผู้เสียหายส่วนจำเลยเดินเข้าไปในร้านของผู้เสียหายเข้าไปหยิบกระเป๋าขึ้นมา ผู้เสียหายหันมาเห็นเข้า ร้องโวยวายจำเลยวางกระเป๋าลง พยานจึงเข้ามาควบคุมตัวจำเลยไว้แล้วนำไปส่งศูนย์รักษาความปลอดภัย ต่อมามีเจ้าพนักงานตำรวจ 2 นาย มาที่เกิดเหตุพยานจึงมอบตัวจำเลยให้ไป เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองปากไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลย ประการสำคัญที่สุดจำเลยเองก็เบิกความยอมรับว่าจำเลยเข้าไปจับกระเป๋าหนังของกลางของผู้เสียหายด้วยตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุแผ่นที่ 3เอกสารหมาย จ.6 กระเป๋าหนังของกลางวางกองรวมอยู่กับกระเป๋าหนังใบอื่นลึกเข้ามาในร้านของผู้เสียหายซึ่งตามคำเบิกความของผู้เสียหายนั้นกองกระเป๋าอยู่ลึกเข้ามา 1 ถึง 2 เมตร แม้จำเลยจะสะดุดขาของนางสาวนิภาล้มลงกระแทกเก้าอี้ที่กั้นทางเข้าหน้าร้านก็ไม่ทำให้กระเป๋าหนังของกลางและกระเป๋าหนังใบอื่น ๆล้มลงมาได้ จำเลยเป็นชาวอาร์เจนตินาซึ่งเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ฐานะและประสบการณ์ชีวิตของจำเลยมีสมบูรณ์เต็มที่ดังจะเห็นได้จากการที่จำเลยมีเงินสดติดตัวมาเป็นจำนวนมากและเข้ามาประเทศไทยเพื่อดูตลาดการค้าหุ้น ฉะนั้นเมื่อจำเลยเห็นร้านของผู้เสียหายในงานแสดงสินค้ามีเก้าอี้ 4 ตัว ขวางทางเข้าร้านและสินค้าอัญมณีที่ตั้งแสดงไว้ถูกเก็บไปหมดสิ้นแล้วเช่นนี้ จำเลยย่อมต้องเข้าใจได้อย่างชัดแจ้งว่า ผู้เสียหายปิดร้านของผู้เสียหายแล้วบุคคลทั่วไปที่ทำการโดยสุจริตย่อมไม่มีเหตุใด ๆ ที่จะเข้าไปในร้านของผู้เสียหาย การที่จำเลยเข้าไปในร้านของผู้เสียหายแล้วหยิบกระเป๋าหนังของกลางเคลื่อนจากที่ แต่เมื่อผู้เสียหายพบเห็นเข้าจำเลยจึงวางกระเป๋าหนังของกลางลงกับพื้นนั้น ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตที่จะเอากระเป๋าหนังของกลางไปเป็นของตนเพราะกรรมย่อมเป็นเครื่องแสดงเจตนา ความผิดฐานลักทรัพย์กระเป๋าหนังของกลางจึงเกิดขึ้น และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดดังกล่าว หาใช่ไม่มีการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์เกิดขึ้นเพราะจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตที่ไปยกกระเป๋าหนังของกลางดังที่จำเลยฎีกาไม่ปัญหาวินิจฉัยต่อไปคือ จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์เพียงคนเดียวหรือโดยร่วมกระทำความผิดกับพวกอีก 1 คน เห็นว่า ผู้เสียหายและพลทหารปทีปพยานโจทก์ต่างเบิกความยืนยันว่า จำเลยกับชายชาวต่างประเทศอีก 1 คนเดินมาด้วยกัน เดินผ่านร้านของผู้เสียหายไปแล้วชายชาวต่างประเทศดังกล่าวเดินกลับมาคุยกับผู้เสียหายซึ่งอยู่ในร้านเพียงคนเดียวโดยหันหลังให้ทางเข้าร้าน คุยกันโดยภาษาต่างประเทศที่ผู้เสียหายไม่เข้าใจประมาณ 1 นาทีผู้เสียหายหันหลังกลับมาหยิบนามบัตรของบริษัทจึงเห็นจำเลยกำลังถือกระเป๋าหนังของกลางอยู่ภายในร้าน โดยขณะที่ชายชาวต่างประเทศดังกล่าวยืนคุยกับผู้เสียหายนั้น ผู้เสียหายยังไม่เห็นจำเลยแต่อย่างใด พฤติการณ์ที่ประจวบเหมาะกันโดยมีการเบนความสนใจของผู้เสียหายจากสิ่งอื่น ๆ ให้มาอยู่กับชาวต่างประเทศที่เข้ามาพูดคุยโดยใช้ภาษาต่างประเทศที่ไม่เข้าใจแล้วจำเลยแอบเข้าไปในร้านของผู้เสียหายลักทรัพย์กระเป๋าหนังของกลางเช่นนี้น่าเชื่อว่าจำเลยกับชายชาวต่างประเทศดังกล่าววางแผนสมคบกันในการลักทรัพย์ของผู้เสียหายที่จำเลยอ้างว่าผู้เสียหายและพลทหารปทีปเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยเพื่อให้เห็นว่ามีการลักทรัพย์เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้น เห็นว่าคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวมีความเชื่อมโยง สอดคล้องมีเหตุผลหากผู้เสียหายจะปรักปรำใส่ร้ายจำเลยน่าจะต้องบิดเบือนให้นางสาวนิภา ศิริเลิศวศิน เพื่อนหญิงของจำเลยที่ไปกับจำเลยด้วยเป็นผู้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยมากกว่าที่จะให้มีชายชาวต่างประเทศคนอื่นมาร่วมกระทำความผิดดังที่ปรากฏ ส่วนพลทหารปทีปนั้นตามบัญชีระบุพยานจำเลยลงวันที่ 22 มกราคม 2541 จำเลยก็ได้อ้างพยานปากนี้เป็นพยานจำเลยไว้เช่นเดียวกันแสดงว่า จำเลยก็เชื่อว่าพลทหารปทีปจะเบิกความด้วยความสัตย์จริงเช่นเดียวกันกับโจทก์จึงเห็นได้ชัดเจนว่าพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้มิได้มีอคติต่อจำเลยแต่อย่างใด พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามที่โจทก์ฟ้องฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปคือ สมควรกำหนดโทษให้น้อยลงและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่ากระเป๋าหนังของกลางที่จำเลยกับพวกร่วมกันลักไปมีราคาสูง พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยมีการวางแผนการแบ่งหน้าที่กันทำและเป็นการลักทรัพย์ในงานแสดงสินค้าที่มีคนพลุกพล่านอันเป็นภัยแก่สาธารณชนทั่วไป สมควรลงโทษเพื่อยับยั้งมิให้เกิดการกระทำความผิดอย่างเดียวกันขึ้นมาอีก ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษและไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยนั้นนับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน

Share