คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงในคดีนี้รับฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ จึงลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ไม่ได้อันเป็นเหตุในลักษณะคดีแม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อหาดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยไม่มีฝ่ายใดฎีกาว่าจำเลยทั้งสามกับพวกรุมชกต่อยใช้ไม้และขวดเบียร์ตีทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสอง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายแก่กาย ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายแก่กายได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี, 92, 91, 83, 58 ให้จำเลยทั้งสามคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 47,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 และ 12,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2 เพิ่มโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ตามกฎหมายและบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1377/2545 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีนี้
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ และจำเลยที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก ประกอบมาตรา 340 ตรี, 83 จำคุกคนละ 15 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 10 ปี บวกโทษจำคุก 1 ปี ของจำเลยที่ 3 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1377/2545 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้ รวมจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 11 ปี ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท พร้อมพระหลวงพ่อโสธรเลี่ยมทองคำ 1 องค์ หรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 47,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 และร่วมกันคืนสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท พร้อมพระหลวงพ่อโสธรเลี่ยมทองคำ 1 องค์ หรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 12,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2 คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ที่อ้างว่าถูกกระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองไปนั้น คงมีเพียงนายพิทักษ์ซึ่งเป็นเพื่อนของผู้เสียหายทั้งสองมาเบิกความสนับสนุน เมื่อได้ความว่าหลังเกิดเหตุไม่ปรากฏร่องรอยหรือบาดแผลใดๆ บริเวณลำคอของผู้เสียหายทั้งสอง ทั้งคำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสองกับพยานโจทก์ปากอื่นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้เสียหายทั้งสองอ้างว่าถูกคนร้ายกระชากสร้อยคอทองคำไป จนกระทั่งจำเลยทั้งสามกับพวกหลบหนีก็แตกต่างกันมากไม่สอดคล้องกันดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนัก ข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่าผู้เสียหายทั้งสองถูกพวกของจำเลยทั้งสามกระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองไปจึงรับฟังไม่ได้ ข้อเท็จจริงย่อมฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์เกิดขึ้นตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยที่ 3 มีว่า จำเลยที่ 3 มิได้ร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสองตามฟ้องฟังขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้รับฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ดังกล่าวมาแล้ว จึงลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ไม่ได้อันเป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อหาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยไม่มีฝ่ายใดฎีกาว่า จำเลยทั้งสามกับพวกรุมชกต่อยใช้ไม้และขวดเบียร์ตีทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสอง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายแก่กาย ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายแก่กายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุกคนละ 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสามมีประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 8 เดือน บวกโทษจำคุก 1 ปี ของจำเลยที่ 3 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 1377/2545 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้ รวมจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี 8 เดือน คำขออื่นให้ยก

Share