แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์และม.ซื้อที่ดินมีโฉนดขณะที่โจทก์และม.อยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไม่จดทะเบียนสมรสในการโอนทางทะเบียนโจทก์ให้ม. ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ด้วยตามฟ้องของโจทก์ไม่ใช่เป็นการฟ้องบังคับระหว่างคู่สัญญาตามสัญญาซื้อขายแต่เป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่ามีส่วนเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโจทก์จึงมีสิทธินำสืบได้ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินโฉนดที่ 7993 เป็นกรรมสิทธิ์ของนางแป้น แก้วบริรักษ์ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2517 นางแป้นได้ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์และนายมานิตย์ กนกพรนาวิน สามีซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส โดยลงชื่อนายมานิตย์ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนโจทก์ด้วย โจทก์กับนายมานิตย์จึงมีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินดังกล่าว ที่ดินแปลงนี้อยู่ติดที่ดินของจำเลยทั้งสองโฉนดที่ 7591 ทางด้านทิศตะวันออก โจทก์และประชาชนประมาณ 30 คน ได้ใช้สะพานไม้กว้าง 1 เมตร ยาว 3.50 เมตรซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสองทางด้านทิศเหนือ เข้าออกสู่ถนนทางหลวงแผ่นดินสายบางแพ-สมุทรสงคราม เป็นเวลาติดต่อกันมา40 ปี แล้วทางเดินดังกล่าวจึงตกเป็นภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์และประชาชนตลอดมา เมื่อประมาณต้นเดือนมิถุนายน2533 จำเลยทั้งสองใช้จ้างวานผู้อื่นเทคานคอนกรีตและเอาหนามต้นมะขามเทศมาวางขวางทางเดินปิดกั้นทางสะพานไม้นั้นเสีย ปัจจุบันนี้จำเลยทั้งสองใช้จ้างวานผู้อื่นก่อกำแพงปิดกั้นเพิ่มเติมอีกทำให้โจทก์และประชาชนใช้ทางพิพาทไม่ได้ได้รับความเสียหายและเดือดร้อน โจทก์เป็นหญิงมีสามีจดทะเบียนเมื่อ พ.ศ. 2530 ที่ดินโจทก์โฉนดที่ 7993 โจทก์กับนายมานิตย์ได้กรรมสิทธิ์ก่อนจดทะเบียนสมรส ไม่เป็นสินสมรส โจทก์จึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามีในการฟ้องคดีนี้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนคานคอนกรีตกำแพงและสิ่งกีดขวางทั้งหมดออก เปิดทางเดินพิพาทตามสภาพเดิมให้จำเลยทั้งสองเสียค่าจ้างทั้งหมดเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมกระทำการดังกล่าวโดยให้บุคคลอื่นกระทำแทน ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินโฉนดที่ 7591 ของจำเลยทั้งสองหากจำเลยทั้งสองไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 7591 ดังกล่าว ย่อมมีสิทธิที่จะกระทำการใด ๆในที่ดินของจำเลยทั้งสองได้ทั้งสิ้น โจทก์กับพวกไม่เคยเกี่ยวข้องนายมานิตย์เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 7993 ก็ไม่เคยเกี่ยวข้องในที่ดินของจำเลยทั้งสองเพราะที่ดินของนายมานิตย์มีทางรถยนต์ ทางเรือ สามารถเดินทางเข้าออกได้สะดวกอยู่แล้วตั้งแต่ดั้งเดิมไม่จำเป็นต้องผ่านที่ดินบริเวณใดของจำเลยทั้งสองโจทก์ได้กล่าวอ้างเรื่องการเดินผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองเป็นทางภารจำยอมต่อจำเลยทั้งสองมาหลายครั้งแล้วได้มีการแจ้งต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ และสามารถไกล่เกลี่ยให้ตกลงกันไปได้โดยโจทก์รับที่จะไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ในที่ดินของจำเลยทั้งสองอีกแต่ด้วยความทุจริตต้องการกลั่นแกล้งจำเลยทั้งสองโดยความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเพื่อกระทำละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นเท่านั้นเมื่อโจทก์ก็ดีชาวบ้านที่โจทก์อ้างมาก็ดี ไม่เคยมีความเดือดร้อนเพราะไม่ได้เดินผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองไม่ว่าบริเวณใดก็ตามโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนคานคอนกรีต กำแพงและสิ่งกีดขวางออก เปิดทางเดินพิพาทให้โจทก์ตามสภาพเดิม กว้าง1 เมตร ผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองโฉนดเลขที่ 7591 ตำบลกระดังงา(บางน้อย) อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม ตลอดทางภารจำยอมจนกระทั่งออกสู่ถนนสายบางแพ-สมุทรสงคราม กับให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนสิทธิภารจำยอมในที่ดินโฉนดที่ 7591 ดังกล่าวให้แก่ที่ดินโฉนดที่ 7993 ตำบลกระดังงา (บางน้อย) อำเภอบางคนทีจังหวัดสมุทรสงคราม หากจำเลยทั้งสองไม่ไปจดทะเบียนภารจำยอมก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยทั้งสองฎีกาต่อไปว่าตามหนังสือสัญญาแบ่งขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ระบุชัดว่า นางแป้นแบ่งขายให้นายมานิตย์คนเดียว โจทก์นำสืบว่า โจทก์เป็นเจ้าของรวมด้วยเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าโจทก์และนายมานิตย์ซื้อที่ดินโฉนดที่ 7993 ตามสัญญาเอกสารหมายจ.1 ขณะที่โจทก์และนายมานิตย์อยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไม่จดทะเบียนสมรสในการโอนทางทะเบียน โจทก์ให้นายมานิตย์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ด้วย ตามฟ้องของโจทก์ไม่ใช่เป็นการฟ้องบังคับระหว่างคู่สัญญาตามสัญญาซื้อขาย แต่เป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่ามีส่วนเป็นเจ้าของรวมในที่ดินซึ่งเป็นสามยทรัพย์โจทก์จึงมีสิทธินำสืบได้ไม่ขัดต่อบทบัญญัติมาตราดังกล่าว ฎีกาจำเลยทั้งสองในข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน