แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายอายุ 15 ปี เป็นคนปัญญาอ่อนพูดเรื่องยาก ๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่องแต่เบิกความต่อศาลได้เรื่องได้ราว ดังนี้ รับฟังได้
ผู้เสียหายรักจำเลย เต็มใจไปร่วมประเวณีกับจำเลย แต่เมื่อจำเลยพาพวกอีก 3 คนไปด้วย ผู้เสียหายจึงวิ่งหนีจำเลยกับพวกฉุดไว้ แล้วผลัดกันกระทำชำเราทุกคน มีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคท้าย
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคท้าย, 83 จำคุก 10 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์มีเด็กหญิงหนูติ้มผู้เสียหายเบิกความฟังได้ว่า จำเลยกับผู้เสียหายเคยรู้จักกันมาก่อนได้พบกันในงานวัดที่ฉายภาพยนตร์ และนัดไปร่วมรักกันที่หอประชุมโรงเรียนบ้านหนองปล้องหลังจากภาพยนตร์เลิกแล้วจำเลยกับผู้เสียหายไปยังสถานที่ดังกล่าวตามนัดแต่จำเลยพาพวกไปอีก 3 คนด้วย ผู้เสียหายวิ่งหนี จำเลยกับพวกฉุดผู้เสียหายไว้แล้วผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายทุกคน ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะได้ความจากคำเบิกความของนายอ้ายและนางจันดีบิดามารดาผู้เสียหายว่าผู้เสียหายเป็นคนปัญญาอ่อน พูดเรื่องง่าย ๆ รู้เรื่อง เรื่องยาก ๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่ผู้เสียหายก็เบิกความต่อศาลได้เรื่องได้ราวรับฟังได้ สิ่งใดที่ผู้เสียหายยินยอมผู้เสียหายก็เบิกความตามความจริง เช่น เคยรู้จักและรักจำเลย ยินดีที่จะไปร่วมรักกับจำเลย เป็นต้น สิ่งใดที่ผู้เสียหายไม่ยินยอมก็เบิกความไปเช่นนั้น เช่น ผู้เสียหายไม่รักพวกของจำเลย คำเบิกความของผู้เสียหายรับฟังได้ว่า จำเลยกับพวกอีก 3 คนได้ร่วมกันกระทำชำเราผู้เสียหายจริง แม้ในตอนแรกผู้เสียหายเต็มใจไปร่วมรักกับจำเลย แต่เมื่อไปถึงสถานที่ตามนัดแล้วจำเลยพาพวกไปอีก 3 คนด้วย ผู้เสียหายจึงวิ่งหนีแสดงว่าผู้เสียหายไม่เต็มใจที่จะร่วมรักกับจำเลย จำเลยกับพวกฉุดผู้เสียหายไว้เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย แล้วจำเลยกับพวกผลัดกันกระทำชำเราผู้เสียหายทุกคนผู้เสียหายเป็นคนปัญญาอ่อน เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ย่อมเกิดความหวาดกลัวและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ เมื่อผู้เสียหายกลับไปถึงบ้านก็ได้บอกบิดามารดาว่า จำเลยกับพวกข่มขืนกระทำชำเรา โจทก์มีนายอ้ายและนางจันดีบิดามารดาของผู้เสียหายมาเบิกความรับกับคำเบิกความของผู้เสียหายในข้อนี้พยานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงดังที่โจทก์ฟ้อง ที่จำเลยนำสืบว่า ไม่ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เพียงแต่ไปดูผู้เสียหายในเมื่อได้ทราบว่ามีคนพาผู้เสียหายไปข่มขืนแล้วพาผู้เสียหายกลับไปส่งที่บ้านนั้น เห็นว่า จำเลยกับผู้เสียหายเคยรู้จักกันมาก่อน แม้ผู้เสียหายเป็นคนปัญญาอ่อน แต่ก็เบิกความไปตามความเป็นจริงดังกล่าวข้างต้น ไม่มีเหตุอันใดที่จะใส่ร้ายหรือปรักปรำจำเลย ข้อนำสืบของจำเลยรับฟังไม่ได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำเลยขั้นต่ำตามกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงกำหนดโทษได้อีกตามที่จำเลยฎีกา”
พิพากษายืน