คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1197/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สิทธิในการเรียกร้องหรือในการฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียนั้นจะต้องฟ้องภายใน 2 ปี นับแต่วันนำของเข้าตามมาตรา10 วรรคห้า แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 แม้โจทก์จะได้ยื่นคำขอคืนเงินอากรที่ได้เสียไว้เกินต่ออธิบดีกรมศุลกากรภายใน 2 ปี แต่นำคดีมาฟ้องเกินกว่า 2 ปี นับแต่วันนำสินค้าพิพาทเข้ามาในราชอาณาจักร สิทธิเรียกร้องขอคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริงเป็นอันสิ้นไปหรือขาดอายุความ ส่วนภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาล และค่าธรรมเนียมพิเศษนั้น เมื่อจำเลยให้การต่อสู้และศาลวินิจฉัยว่าสิทธิเรียกร้องคืนอากรขาเข้าขาดอายุความเพียงอย่างเดียว จำเลยจึงต้องคืนภาษีการค้าภาษีบำรุงเทศบาลและค่าธรรมเนียมพิเศษให้แก่โจทก์ สำหรับค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี พอถือได้ว่าโจทก์ขอเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยในส่วนของภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเป็นการเรียกดอกเบี้ยเพราะเหตุผิดนัดชำระหนี้เงินคืน โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคแรก ส่วนค่าธรรมเนียมพิเศษเป็นการเรียกดอกเบี้ยตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 112 จัตวา วรรคสี่ ซึ่งนำมาใช้บังคับโดยอนุโลม ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดระเบียบการเรียกเก็บและวิธีการชำระค่าธรรมเนียมพิเศษในการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรลงวันที่ 7 มิถุนายน 2533 โดยจำเลยต้องคืนค่าธรรมเนียมพิเศษพร้อมดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.625 ต่อเดือนนับแต่วันที่ได้ชำระค่าธรรมเนียมพิเศษจนถึงวันที่มีการอนุมัติให้จ่ายคืน คดีนี้จำเลยไม่ได้ยกอายุความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องขอคืนเงินภาษีการค้าภาษีบำรุงเทศบาลและค่าธรรมเนียมพิเศษขึ้นเป็นข้อต่อสู้การที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่วินิจฉัยประเด็นว่าจำเลยต้องคืนเงินภาษีการค้าภาษีบำรุงเทศบาลและค่าธรรมเนียมพิเศษพร้อมค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามฟ้องอีกหรือไม่เพียงใดจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ.2528มาตรา17ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 114,379 บาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันชำระเงินจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 3 ปี 8 เดือน รวมเป็นเงิน 31,454 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่าการกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ไม่คืนเงินค่าอากรจำนวน 114,379บาท ให้แก่โจทก์ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการแล้ว ทั้งจำเลยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ แก่โจทก์ด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่2758/2531 คดีระหว่าง บริษัทชนาธิผล จำกัด โจทก์ กรมศุลกากร จำเลย เป็นปทัฏฐานแล้วว่า”พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคห้า มีความหมายว่า สิทธิในการเรียกร้องหรือในการฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียนั้นจะต้องฟ้องเสียภายใน 2 ปีนับแต่วันนำของเข้า เมื่อโจทก์ฟ้องคดีเป็นเวลาเกินกว่า 2 ปี นับแต่วันนำของเข้า คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ” ดังนั้นแม้โจทก์คดีนี้จะได้ยื่นคำขอคืนเงินอากรที่ได้เสียไว้เกินนั้นต่ออธิบดีกรมศุลกากรภายใน 2 ปี แต่นำคดีมาฟ้องเกินกว่า 2 ปี นับแต่วันนำสินค้าพิพาทเข้ามาในราชอาณาจักร สิทธิเรียกร้องขอคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริงจึงเป็นอันสิ้นไปหรือขาดอายุความนั่นเอง ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เรียกร้องขอคืนเงินอากรขาเข้าจำนวน 85,721 บาท จึงชอบแล้ว แต่คดีนี้นอกจากโจทก์ฟ้องเรียกร้องขอคืนเงินอากรขาเข้าตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 แล้ว ยังฟ้องเรียกร้องขอคืนเงินภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาล และค่าธรรมเนียมพิเศษ ตามประมวลรัษฎากร พระราชบัญญัติรายได้เทศบาล พ.ศ.2497 และพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ.2522 ตามลำดับ จำเลยคงยกอายุความตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 10 วรรคห้า ซึ่งเป็นอายุความเกี่ยวกับสิทธิในการเรียกร้องขอคืนเงินอากรขาเข้าขึ้นต่อสู้เท่านั้น หาได้ยกอายุความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องขอคืนเงินภาษีการค้าภาษีบำรุงเทศบาลและค่าธรรมเนียมพิเศษขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไม่ ดังนั้นแม้คดีของโจทก์เกี่ยวกับสิทธิในการเรียกร้องขอคืนเงินอากรขาเข้าขาดอายุความตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 10 วรรคห้า แล้ว ศาลภาษีอากรกลางก็ยังต้องวินิจฉัยตามประเด็นข้อพิพาทข้อ 5 ต่อไปว่า จำเลยต้องคืนเงินภาษีการค้าภาษีบำรุงเทศบาลและค่าธรรมเนียมพิเศษ พร้อมค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามฟ้องอีกหรือไม่ เพียงใด การที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17 เพราะมิได้ชี้ขาดคดีตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อ เมื่อคดีปรากฏแก่ศาลฎีกาว่า ศาลภาษีอากรกลางมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวอันว่าด้วยคำพิพากษาศาลฎีกา จึงเห็นควรวินิจฉัยตามประเด็นข้อพิพาทข้อ 5 ให้ โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยอีก ส่วนประเด็นข้อ 3 ที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้น เป็นประเด็นต่อเนื่องมาจากประเด็นข้อ 2 นั่นเอง เมื่อศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าเป็นกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พึงต้องรู้อยู่ก่อนส่งมอบตามประเด็นข้อ 2 แล้ว แม้จะมิได้วินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องตามประเด็นข้อ 3 ก็ตาม แต่เมื่อประเด็นข้อ 2 ข้อ 3 และข้อ 4 ที่ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกิดจากบทบัญญัติแห่งมาตรา 10 วรรคห้า ของพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยยืนตามคำวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลางในประเด็นข้อ 4 แล้ว จึงไม่เป็นประโยชน์ที่จะต้องวินิจฉัยในประเด็นข้อ 3 อีก ปัญหาตามประเด็นข้อ 5 ดังกล่าวนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่าโจทก์นำสินค้าพิพาทเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2533โดยสำแดงราคาสินค้าที่นำเข้าเป็นเงิน 1,312,400.28 บาท พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 1,534,058.12 บาท โดยมิได้ลดราคาลงให้ในอัตราร้อยละ 10 ตามบัญชีราคาสินค้าที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยยอมรับราคาแล้วโจทก์ได้ชำระอากรขาเข้าแก่จำเลยไปจำนวน 920,434 บาท ภาษีการค้าจำนวน 272,772 บาท ภาษีบำรุงเทศบาลจำนวน 27,277 บาท ค่าธรรมเนียมพิเศษจำนวน 7,670 บาท หากคำนวณอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาล และค่าธรรมเนียมพิเศษตามบัญชีราคาสินค้าที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยยอมรับราคาแล้วคือ ลดราคาลงให้อีกร้อยละ 10 ของราคาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินไว้นั้นแล้ว ผลก็จะปรากฏว่าโจทก์ได้เสียอากรขาเข้าเกินไปจำนวน 85,721 บาท ภาษีการค้าเสียเกินไปจำนวน 25,403 บาท ภาษีบำรุงเทศบาลเสียเกินไปจำนวน 2,540 บาท ค่าธรรมเนียมพิเศษเสียเกินไปจำนวน 715 บาท เมื่อจำเลยให้การต่อสู้และศาลวินิจฉัยว่า สิทธิในการเรียกร้องคืนอากรขาเข้าที่โจทก์ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริงขาดอายุความแต่เพียงอย่างเดียว จำเลยจึงต้องคืนภาษีการค้าจำนวน 25,403 บาท ภาษีบำรุงเทศบาลจำนวน 2,540 บาท และค่าธรรมเนียมพิเศษจำนวน 715 บาท ที่โจทก์ได้เสียเกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริงนั้นให้แก่โจทก์ ส่วนค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่โจทก์ชำระภาษีอากร และค่าธรรมเนียมพิเศษจนถึงวันที่จำเลยชำระคืนเสร็จนั้นพอถือได้ว่าโจทก์ขอเรียกดอกเบี้ยจากจำเลย สำหรับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเป็นการเรียกดอกเบี้ยด้วยเหตุผิดนัดชำระหนี้เงินคืนโจทก์ จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก โจทก์มีหนังสือขอเงินดังกล่าวคืนเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2534 ตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 17 จำเลยได้รับหนังสือของโจทก์ในวันเดียวกันแต่ไม่ยอมคืนให้จึงถือได้ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 30 มกราคม2534 จนกว่าจะชำระคืน ส่วนค่าธรรมเนียมพิเศษเป็นการเรียกดอกเบี้ยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 112 จัตวา วรรคสี่ ซึ่งนำมาใช้บังคับโดยอนุโลมตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดระเบียบการเรียกเก็บและวิธีการชำระค่าธรรมเนียมพิเศษในการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรลงวันที่ 7 มิถุนายน 2533 โดยจำเลยต้องคืนค่าธรรมเนียมพิเศษพร้อมด้วยดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.625 ต่อเดือน เศษของเดือนให้นับเป็นหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ชำระค่าธรรมเนียมพิเศษจนถึงวันที่มีการอนุมัติให้จ่ายคืน แต่โจทก์ขอดอกเบี้ยมาในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จึงให้ตามขอ”
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยคืนเงินภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาล และค่าธรรมเนียมพิเศษรวม 28,658 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 27,943 นับแต่วันที่ 30 มกราคม 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และจากต้นเงิน 715 บาท นับแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2533 จนถึงวันอนุมัติให้จ่ายคืน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

Share