แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย ดังนี้ คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ซึ่งจะต้องให้คู่ความมีโอกาสและมีเวลาพอสมควรที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ กรณีนี้ปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานวันที่ 11กรกฎาคม 2511 แล้วพิพากษาวันที่ 12 เดือนเดียวกันโจทก์ย่อมไม่มีโอกาสโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ จะเอาข้อที่โจทก์ไม่ได้โต้แย้งนี้มาตัดสิทธิโจทก์ไม่ให้นำพยานมาสืบ หาชอบไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ 1 ได้เช่าที่ดินของโจทก์เพื่อปลูกเรือนอยู่อาศัยมีกำหนด 1 ปีจำเลยค้างค่าเช่า ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเช่า
ศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์จึงไม่รับฟ้องจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยเข่าที่ดินโจทก์โดยสำคัญผิดว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน เมื่อเช่าที่ดินครบ 1 ปีตามสัญญาเช่าแล้วจึงทราบว่าที่ดินที่เช่านี้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์ฟ้องและคำให้การแล้วเห็นว่าไม่จำต้องสืบพยานต่อไป สั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นเป็นผู้สั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเอง เพราะเห็นว่าคำให้การจำเลยขัดแย้งกันไม่ชัดแจ้ง ไม่มีประเด็นนำสืบ และพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี แต่ในชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า คดีมีประเด็นตามที่จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์มีสิทธิเอาที่พิพาทให้จำเลยเช่าและเรียกค่าเช่าที่ค้างจากจำเลยได้หรือไม่ จึงต้องให้โจทก์จำเลยนำสืบตามประเด็นดังกล่าว ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานแล้ว เพราะโจทก์มิได้คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานไว้แต่ประการใดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ซึ่งจะต้องให้คู่ความมีโอกาสและมีเวลาพอสมควรที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่กรณีนี้ปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานวันที่ 11 กรกฎาคม 2511 แล้วพิพากษาวันที่ 12 เดือนเดียวกัน โจทก์ย่อมไม่มีโอกาสโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ ฉะนั้น จึงจะเอาข้อที่โจทก์ไม่ได้โต้แย้งนี้มาตัดสิทธิโจทก์ไม่ให้นำพยานมาสืบ หาชอบไม่
พิพากษายืน