คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2473

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อตกลงซึ่งเปนสาระสำคัญแห่งสัญญายังเปนที่สงสัย ต้องนับว่าไม่มีสัญญาต่อกัน ชำระหนี้ไปโดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีความผูกพันจะต้องชำระหนี้ ดังนี้ตนหามีสิทธิได้รับเงินนั้นคืนไม่ วิธีพิจารณาแพ่งความสมัครใจปฏิบัติศาลบังคับให้ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ปฏิบัติ

ย่อยาว

ได้ความว่า ศ.ได้วางเงินมัดจำมัดจำตกลงเช่าซื้อที่สวนจากจำเลย ๔ แปลง ต่อมา จ.ได้รับโอนการเช่าซื้อที่รายนี้จาก ศ.ด้วยความยินยอมของจำเลย ตามบันทึกซึ่งมีความว่า “ศ.ขอโอนการเช่าซื้อที่ดินรายนี้ให้แก่ ร.ๆ ขอรับโอนการเช่าซื้อที่ดินรายนี้จาก ศ. และส่วนที่รับโอนรายนี้ ร. จะขอคำสัญญาเช่าเปนแปลง ๆ มีกำหนด ๒๐ ปี ลงชื่อ ร.และ ศ.” ร.ส่งเงินค่าเช่าซื้อให้จำเลย ๒ งวด ๑๘๒๒ บาท ๘๔ สตางค์แล้วก็ถึงแก่กรรม โจทก์ผู้รับมฤฎกจึงฟ้องเรียกเงิน ๒ งวด คืน อ้างว่า ร.กับจำเลยยังหาได้ทำสัญญาเช่าซื้อต่อกันโดยถูกต้องตามกฎหมายไม่
ศาลเดิมและศาลอุทธรณ์ตัดสินให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยฎีกาเปนปัญหากฎหมาย และแถลงว่าสัญญาเช่าซื้อนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยขอคืนเงินให้โจทก์ ๑ ใน ๓ เปนเงิน ๖๐๗ บาท ๖๗ สตางค์
ศาลฎีกาตัดสินแก้ศาลล่างว่า เมื่อ ร.ได้รับโอนการเช่าซื้อแล้ว เหตุใดในบันทึกจึงมีว่า ร.จะขอทำสัญญาเช่าจากจำเลยเปนแปลง ๆ มีกำหนด ๒๐ ปี แต่ฝ่ายจำเลยไม่ปรากฏว่ามีความตกลงอย่างไรด้วยดังนี้ข้อตกลงอันเปนสาระสำคัญระวางคู่สัญญาจึงยังเปนที่สงสัย ต้องนับว่ายังไม่มีสัญญาต่อกันตามประมวลแพ่ง ม. ๓๖๖ ฉะนั้นเงินที่จำเลยได้รับไป ๒ งวดแล้วนั้นต้องด้วยลักษณลาภมิควรได้ เพราะ ร.ได้ชำระหนี้ตามอำเภอใจโดยที่รู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ โจทก์จึงหามีสิทธิจะรับเงินรายนี้ได้ไม่ตาม ม.๔๐๗ แต่จำเลยสมัคร์ใจยอมคืนให้ ๖๐๗ บาท ๖๑ สตางค์ จึงบังคับคดีไปตามความยินยอมจของจำเลย

Share