คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1196/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีโจทก์ฟ้องขอไถ่ที่นาซึ่งขายฝากแก่จำเลยไว้เป็นราคา 2200 บาทจำเลยแก้ว่า ตามสัญญาขายฝากเมื่อพ้นกำหนด 7 ปี ให้ที่เป็นกรรมสิทธิแก่จำเลย โจทก์ได้ขอไถ่ถอนเมื่อพ้นกำหนดแล้ว จึงไม่มีอำนาจถอน ดังนี้ เป็นคดีพิพาทเรื่องการไถ่ถอน ซึ่งกำหนดเป็นราคาเงินได้เกินกว่า 2,000 บาท ไม่เป็นคดต้องห้ามฎีกาตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 248

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้ขายฝากที่นาไว้แก่จำเลยเป็นเงิน ๒๒๐๐ บาท ต่ออำเภอ มีกำหนดไถ่ถอน ๗ ปี แต่การครอบครองอยู่แก่โจทก์ โดยโจทก์ทำนาส่งข้าวให้จำเลยต่างดอกเบี้ย ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน โจทก์ไปขอไถ่คืนจากจำเลย ๆ ไม่ยอมจึงขอให้จำเลยรับไถ่ถอนหรือยกเลิกเพิกถอนสัญญาขายฝาก จำเลยให้การว่าตามสัญญาขายฝากว่า เมื่อพ้น ๗ ปี ให้ที่เป็นกรรมสิทธิแก่โจทก์ ๆ ขอไถ่ถอนเมื่อพ้นกำหนดแล้ว และจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท
ศาลชั้นต้นฟังว่า ก่อนครบกำหนด ๗ ปี โจทก์ไม่ไปไถ่ถอนที่พิพาทเป็นสิทธิแก่จำเลยแล้ว จำเลยเป็นฝ่ายครอบครอง พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเรื่องการไถ่ถอน ซึ่งกำหนดเป็นราคาเงินได้ เกินกว่า ๒,๐๐๐ บาท ไม่เป็นคดีต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.แพ่ง ม. ๒๔๘.
ส่วนเรื่องการขอให้ไถ่ที่ขายฝากก่อนครบกำหนดหรือภายหลังกำหนดเวลาไถ่นั้น ศาลชั้นต้นเชื่อฟังคำนายเรือนเป็นหลานของโจทก์ โดยเห็นว่าเป็นคนกลาง ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นายเรือนเป็นหลานของโจทก์ มิใช่คนกลาง ไม่มีน้ำหนักจะฟัง โจทก์กล่าวในฎีกาว่า จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านในข้อที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนั้นตามข้อนี้ ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยนั้น เห็นว่าจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยพิพากษาว่า โจทก์ไม่ปฏิบัติการตามกฎหมาย จึงไม่มีสิทธิไถ่ถอน และที่พิพาทตกเป็นสิทธิแก่จำเลย ให้ยกฟ้อง โจทก์เป็นฝ่ายอุทธรณ์ คดีนี้มิใช่คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ไม่ใช่คดีที่จะอุทธรณ์ได้แต่ฉะเพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริง ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย จึงมีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้
พิพากษายืน

Share