แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บุตรโจทก์ถูกรถยนต์ชนได้รับบาดเจ็บสาหัน โจทก์ซึ่งเป็นบิดาและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมมีหน้าที่รักษาพยาบาล เมื่อต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไปแล้ว จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จ่ายไป ซึ่งเป็นค่าเสียหายส่วนตัวโดยตรงได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรซึ่งถูกรถยนต์ของจำเลยชนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นส่วนตัว กับค่าเสียหายของบุตรโจทก์ที่ถูกรถยนต์ชนเสียขาทั้งสองข้าง ทำให้ขาดความสำราญไปตลอดชีวิต และเสียความสามารถในการประกอลการงานในอนาคต เป็นคำฟ้งแสดงชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์คำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว แม้โจทก์จะได้ได้ระบุในช่องคู่ความว่า โจทก์ได้ฟ้องในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรในตอนแรกก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องในตอนต่อไปว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตร จึงถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวของโจทก์และในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรโจทก์ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายสมศักดิ์ จำเลยที่ ๔ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จำเลยที่ ๓ เป็นบริษัทรับประกันภัย ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันเกิดเหตุ จำเลยที่ ๔ ได้ขับรถยนต์โดยประมาทชนเด็กชายสมศักดิ์บุตรโจทก์จนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงทุพพลภาพ ขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ใช่บิดาของเด็กชายสมศักดิ์ ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ ๒ ตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องคดีเพื่อตนเอง เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕
จำเลยที่ ๓ ต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ใช่บิดาของเด็กชายสมศักดิ์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๓ ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ ศาลอนุญาต
จำเลยที่ ๔ ให้การรับว่าได้ขับรถยนต์ชนบุตรโจทก์บาดเจ็บจริง ขณะนี้ศาลพิพากษาจำคุกและกำลังรับโทษอยู่ จำเลยเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายในนามของตนเอง และฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องแทนเด็กชายสมศักดิ์ผู้เยาว์ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ที่ ๒ อุทธรณ์ร่วมกัน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นการส่วนตัวเพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้ถูกละเมิด โจทก์ควรได้ค่าเสียหายไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายในฐานะส่วนตัวจากจำเลยที่ ๔ ที่กระทำละเมิดต่อบุตรโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๔ ที่ได้กระทำลงไปในทางที่จ้าง ต้องรับผิดร่วมกัน ถือได้ว่าโจทก์ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ สำหรับค่าเสียหาย ค่าเสื่อมสามารถในอนาคตของบุตรโจทก์คิดมาเป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาทนั้น โจทก์ฟ้องมาในฐานะส่วนตัว ไม่ได้ฟ้องในฐานะแทนบุตร ค่าเสียหาย ๘๐,๐๐๐ บาทนี้เป็นค่าเสียหายซึ่งเด็กชายสมศักดิ์บุตรโจทก์ได้รับโดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในเงินจำนวนนี้ จึงได้หักเงินจำนวนนี้ออกเสีย
โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องได้ความชัดเจนแล้วว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในฐานะส่วนตัวโจทก์ และค่าเสียหายของเด็กชายสมศักดิ์บุตรโจทก์ในอนาคตในฐานะโจทก์เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมด้วย ขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายของเด็กชายสมศักดิ์ ๘๐,๐๐๐ บาทด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในฐานะโจทก์เป็นบิดาของเด็กชายสมศักดิ์ ย่อมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างเป็นผู้เยาว์ เมื่อบุตรโจทก์ถูกรถยนต์จำเลยที่ ๔ ขับชนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์มีหน้าที่ต้องพยาบาลรักษาจนบุตรพ้นอันตราย ในการพยาบาลรักษาต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ค่าใช้จ่ายนี้เป็นค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับโดยตรง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
สำหรับคำฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ในช่องคู่ความโจทก์จะไม่ได้บรรยายว่า ฟ้องเรียกค่าเสียหายแทนบุตรในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมก็ดี แต่โจทก์ก็ได้บรรยายในตอนต่อไปว่าโจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรไว้ ขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นส่วนตัวจำนวนหนึ่ง และค่าเสียหายที่บุตรโจทก์ต้องสูญเสียทั้งสองข้าง ทำให้ขาดความสำราญตลอดชีวิต และเสียความสามารถในการประกอบอาชีพในอนาคตเป็นจำนนเงิน ๘๐,๐๐๐ บาทจำนวนหนึ่ง ตามคำบรรยายฟ้องเข้าใจได้ว่า โจทก์ฟ้องสองฐานะ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องแสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์เช่นว่านั้นครบถวนแล้ว จึงฟังได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวและในฐานผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรโจทก์ด้วยว จำเลยจึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของบุตรโจทก์จำนวน ๘๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์