คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1195/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารจำเลยต่อสู้ว่า เป็นของจำเลย และฟ้องแย้งว่าได้เข้าหุ้นกับโจทก์ ขอให้โจทก์คืนทุนและแบ่งกำไรให้ ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม เพราะเป็นฟ้องแย้งเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม แต่เมื่อโจทก์จำเลยไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใดแล้วก็แล้วแต่ศาลจะสั่งตามที่เห็นสมควร
อนึ่งฟ้องแย้งของจำเลยขอให้คืนทุนและแบ่งกำไรจากโจทก์ผู้เป็นหุ้นส่วน เมื่อปรากฏว่าหุ้นส่วนยังไม่เลิกจากกันดังนี้ฟ้องไม่ได้ แต่คดีนี้เมื่อศาลล่างได้รับไว้พิจารณาและสืบพยานเรื่องหุ้นส่วนมาจนสิ้นกระแสร์ความแล้วเช่นนี้ ศาลฎีกาจะรื้อฟื้นให้พิจารณาเรื่องชำระบัญชีหุ้นส่วนกันอีกครั้งหนึ่งก็จะเป็นการเสียหายแก่คู่ความโดยไม่ได้ข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นแต่ประการใด ดังนี้เมื่อศาลเห็นควรก็พิพากษาไปเสียทีเดียวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ปลูกเรือนให้คนงานเผาถ่านของโจทก์อยู่ 1 หลัง ในที่ดินของโจทก์ ตำบลบ้านด่าน กิ่งอำเภอบ้านด่านลายหอยจังหวัดสุโขทัยเป็นเรือนเสาไม้แก่น พื้นเรือน พื้นชาน และฝาไม้สักหลังคามุงแฝกกับได้ทำร้านพื้นไม้สักเพื่อเก็บถ่านไว้ที่ใต้ถุนเรือนอีก 1 ร้าน รวมราคา 3,000 บาท จำเลยได้อยู่อาศัยในเรือนนี้โดยจำเลยเป็นคนงานของโจทก์ ครั้นเมื่อเดือนตุลาคม 2493 โจทก์ให้คนไปบอกจำเลยว่าจะรื้อเรือนและนอกชานกับไม้พื้นร้านสำหรับเก็บถ่านเพื่อมาทำพื้นเรือนของโจทก์ จำเลยไม่ยอมและอ้างว่าเป็นเรือนของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาให้เรือนพิพาทเป็นของโจทก์กับให้ขับไล่และห้ามจำเลยกับบริวารไม่ให้เกี่ยวข้องต่อไป

จำเลยต่อสู้ว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยปลูกสร้างขึ้นเองโดยขายเรือนเก่าและกระบือ 2 ตัวนำเงินมาซื้อเสา กระดานทำพื้นทำนอกชาน ทำยุ้งใส่ถ่านสิ้นเงินประมาณ 1,200 บาท โจทก์ไม่เคยให้คนไปรื้อเรือนพิพาท ความจริงจำเลยกับโจทก์ได้เข้าหุ้นส่วนกันเผาถ่าน โดยออกทุนคนละ 1,000 บาท โจทก์ตีราคาที่ดินบ้านด่านกับเตาเผาถ่าน 3 เตา เป็นเงินทุน 1,000 บาทส่วนจำเลยมอบเงินให้โจทก์ไป 1,000 บาทสัญญาหุ้นส่วนนี้ตกลงกันด้วยปากตกลงแบ่งกำไรคนละครึ่ง ถ้าขาดทุนก็ขาดเท่า ๆ กัน โจทก์รับเป็นผู้เก็บรักษาเงินจ่ายเงินและหาตลาดถ่าน ส่วนจำเลยควบคุมคนงานตัดไม้และเผาถ่าน จำเลยเผาถ่านได้ 15,000 กิโลกรัมโจทก์นำไปขายแล้วเก็บเงินไว้คนเดียวคิดราคาถ่านอย่างต่ำกิโลกรัมละ 20 สตางค์ คงเป็นเงิน 3,000 บาทจำเลยมีส่วนได้ 1,500 บาท จำเลยทวงค่าถ่านจากโจทก์หลายครั้งหลายหนโจทก์เพิกเฉย โจทก์จึงฟ้องคดีนี้แก้เกี้ยว จำเลยขอเอาคำให้การเป็นฟ้องแย้ง ขอให้โจทก์คืนเงิน 1,000 บาท แบ่งค่าถ่าน 1,500 บาทแก่จำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าจำเลยเป็นแต่คนงานมีหน้าที่ควบคุมคนงาน ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนเผาถ่าน แต่ได้สัญญากันว่าถ้าขายถ่านได้และหักค่าใช้จ่ายแล้ว เหลือเป็นเงินเท่าใดจะแบ่งกันคนละครึ่งจำเลยไม่ได้ลงทุนและไม่มอบเงิน 1,000 บาทให้โจทก์ โจทก์ได้รับถ่านจากจำเลย 11,117 กิโลกรัมครึ่ง ขายไปแล้วได้เงิน 2,223 บาท50 สตางค์ เมื่อหักทุนแล้วยังขาดทุนอีก 1,033 บาท 89 สตางค์ โจทก์หาได้เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินรายนี้ไม่ เพราะจำเลยเป็นเพียงคนงานของโจทก์ จำเลยไม่เคยทวงค่าถ่านจำเลย

ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นขึ้นวินิจฉัย 2 ข้อ คือ

1. เรือนพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลย

2. จำเลยได้เข้าหุ้นเผาถ่านกับโจทก์ และโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอีก 2,500 บาท ดังฟ้องแย้งของจำเลยหรือไม่

ประเด็นแรกศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์สืบสมว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์

ประเด็นข้อ 2 จำเลยสืบไม่ได้ตามคำฟ้องแย้งว่า เข้าหุ้นเผาถ่านกับโจทก์ โจทก์สืบได้ว่าสัญญากับจำเลยเพียงว่า ถ้ามีกำไรจากการเผาถ่านจะแบ่งกำไรให้จำเลยครึ่งหนึ่ง แต่การเผาถ่านขายขาดทุนโจทก์จึงไม่ได้แบ่งผลกำไรให้จำเลย พิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลยให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากเรือนพิพาท

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าสำหรับประเด็นที่ว่าเรือนพิพาทเป็นของผู้ใดนั้น ข้อนำสืบของโจทก์ไม่น่าเชื่อ แต่ที่จำเลยอ้างว่าเรือนพิพาทเป็นของตนนั้นมีเหตุผลสนับสนุน ข้ออ้างหลายประการคือ นายพัดยืนยันว่าขายไม้ดังกล่าวให้จำเลยนายโกนผู้ใหญ่บ้านก็ทราบว่าจำเลย ซื้อไม้ดังกล่าวจากนายพัดและรับรองว่าชาวบ้านพูดกันว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลย ทั้งโจทก์เองก็ยอมรับว่าเดิมจำเลยมีที่ดินบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลปากแดงและมีกระบือ 2 ตัว เมื่อจำเลยไปอยู่เรือนพิพาทกระบือและกระท่อมเดิมของจำเลยหายไป ซึ่งรับกับคำของจำเลยที่ว่าจำเลยขายที่ดินบ้านเรือนและกระบือเพื่อควบคุมการตัดไม้และเผาถ่านจึงฟังว่าเรือนพิพาทนอกจากเสาไม้เต็ง (ไม้แก่น) 6 ต้นที่โจทก์ซื้อมาจากนายมิ่งนั้นเป็นของจำเลย

สำหรับประเด็นที่ว่าโจทก์จำเลยเข้าหุ้นเผาถ่านหรือไม่นั้นตามที่คู่ความนำสืบดังกล่าวแล้วเห็นได้ว่าโจทก์ยอมรับการเผาถ่านนั้นโจทก์จำเลยตกลงแบ่งกำไรกันคนละครึ่ง โจทก์คงปฏิเสธแต่ว่าจำเลยไม่ได้ลงทุนและไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกับโจทก์ แต่ตามข้อเท็จจริงที่ศาลนี้รับฟังมาแล้วในตอนต้นว่า จำเลยถึงกับขายที่ดินบ้านเรือนและกระบือของตนเพื่อมาปลูกเรือนในที่ของโจทก์เพื่อคุมงานเผาถ่านนี้น่าเชื่อว่าจำเลยคงได้มั่นใจจากโจทก์เกี่ยวกับฐานะใหม่ของตนเพียงพอว่าโจทก์ชวนมาเข้าหุ้น มิใช่มาเป็นลูกจ้างโจทก์โดยไม่มีความแน่นอนในอนาคตแต่อย่างใด ศาลนี้เชื่อว่าโจทก์จำเลยคงได้ตกลงเป็นหุ้นส่วนกันมากแต่ที่จำเลยจะยอมเป็นลูกจ้างของโจทก์ และฟังว่าโจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนกันโดยจำเลยลงเงินสดเป็นทุน 1,000 บาทเท่ากัน โดยตีราคาที่ดินและเตาเผาถ่าน 3 เตา แทนเงิน ส่วนกำไรที่จำเลยฟ้องขอแบ่งนั้นจำเลยเองไม่รู้ว่าขายถ่านได้เท่าไร มีกำไรเท่าไร ฝ่ายโจทก์นำสืบว่าขายขาดทุน แต่ไม่แน่ว่าขาดทุนเท่าไรเป็นอันฟังไม่ได้ว่าขาดทุนเช่นเดียวกัน จึงต้องฟังว่าหุ้นส่วนรายนี้ไม่มีกำไรที่จะคืนให้จำเลย

อนึ่งการที่จำเลยมาฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนทุนและแบ่งกำไรในระหว่างหุ้นส่วนให้ในคดีที่เถียงกรรมสิทธิ์เรือนพิพาทเช่นนี้ไม่ชอบด้วยวิธีการ แต่เมื่อศาลล่างได้รับพิจารณาสืบพยานเรื่องหุ้นส่วนมาจนสิ้นกระแสความแล้วเช่นนี้ ศาลฎีกาจะรื้อฟื้นให้พิจารณาเรื่องชำระบัญชีหุ้นส่วนกันอีกครั้งหนึ่งก็จะเป็นการเสียหายแก่คู่ความ โดยไม่ได้ข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้น แต่ประการใดจึงเห็นควรพิพากษาไปเสียทีเดียว

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าเรือนพิพาทนอกจากเสา 6 ต้นที่โจทก์ซื้อมาจากนายมิ่งเป็นของจำเลย ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนเรือนนี้ นอกจากเสาไม้จากที่ของโจทก์และให้โจทก์คืนเงิน 1,000 บาทค่าลงหุ้นให้แก่จำเลย

Share