แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทย์ฟ้องว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารจำเลยต่อสู้ว่า เป็นของจำเลยและฟ้องแย้งว่าได้เข้าหุ้นกับโจทก์ ขอให้โจทก์คืนทุนและแบ่งกำไรให้ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง ม.177 วรรค 3 เพราะเป็นฟ้องแย้งเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม แต่เมื่อโจทก์จำเลยไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใดแล้วก็แล้วแต่ศาลจะสั่งตามที่เห็นสมควร
อนึ่งฟ้องแย้งของจำเลยขอให้คืนทุนและแบ่งกำไรจากโจทก์ผู้เป็นหุ้นส่วนเมื่อปรากฎว่าหุ้นส่วนยังไม่เลิกจากกันดังนี้ฟ้องไม่ได้ แต่คดีนี้เมื่อศาลล่างได้รับไว้พิจารณาและสืบพยานเรื่องหุ้นส่วนมาจนสิ้นกระแสร์ความแล้วเช่นนี้ ศาลฎีกาจะรื้อฟื้นให้พิจารณาเรื่องชำระบัญชีหุ้นส่วนกันอีกครั้งอนึ่งก็จะเป็นการเสียหายแก่คู่ความโดยไม่ได้ข้อเท็จจริงเพิ่ม ขึ้นแต่ประการใดดังนี้เมื่อศาลเห็นควรก็พิพากษาไปเสียทีเดียวได้
ย่อยาว
โจทย์ฟ้องว่า โจทก์ได้ปลูกเรือนให้คนงานเผาถ่านของโจทก์อยู่ ๑ หลัง ในที่ดินของโจทก์ ตำบลบ้านด่าน กิ่งอำเภอบ้านด่าน ลายหอย จังหวัดสุโยทัย เป็นเรือนเสาไม้แก่น พื้นเรือน พื้นชาน และฝาไม้สัก หลังคามุงแฝกกับได้ทำร้านพื้นไม้สักเพื่อเก็บถ่านไว้ที่ใต้ถุนเรือนอีก ๑ ร้าน รวมราคา ๓,๐๐๐ บาท จำเลยได้อยู่อาศัยในเรือนนี้โดยจำเลยเป็นคนงานของโจทก์ ครั้นเมื่อเดือนตุลาคม ๒๔๙๓ โจทก์ให้คนไปบอกจำเลยว่าจะรื้อเรือนและนอกชานกับไม้พื้นร้านสำหรับเก็บถ่านเพื่อมาทำพื้นเรือนของโจทก์ จำเลยไม่ยอมแล้อ้างว่าเป็นเรือนของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาให้เรือนพิพาทเป็นของโจทก์กับให้ขับไล่และห้ามจำเลยกับบริวารไม่ให้เกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยต่อสู้ว่า เรือนพิพาทเป็นจำเลยจำเลยปลูกสร้างขึ้นเองโดยขายเรือนเก่าและกระบือ ๒ ตัวนำเงินมาซื้อเสา กระดานทำพื้น ทำนอกชานทำยุ้งใส่ถ่านสิ้นเงินประมาณ ๑,๒๐๐ บาท โจทก์ไม่เคยให้คนไปรื้อเรือนพิพาทความจริงจำเลยกับโจทก์ได้เข้าหุ้นส่วนกันเผาถ่าน โดยออกทุนคนละ ๑๐๐๐ บาท โจทก์ตีราคาที่ดินบ้านด่านกับเตาเผาถ่าน ๓ เตาเป็นเงินทุน ๑๐๐๐ บาท ส่วนจำเลยมอบเงินให้โจทก์ไป ๑๐๐๐ บาทสัญญาหุ้นส่วนนี้ตกลงกันด้วยปาก ตกลงแบ่งกำไรคนละครึ่ง ถ้าขาดทุนก็ขาดเท่า ๆ กันโจทก์รับเป็นผู้เก็บรักษาเงิน จ่ายเงินและหาตลาดถ่านส่วนจำเลยควบคุมคนงานตัดไม้และเผาถ่าน จำเลยเผาถ่านได้ ๑๕,๐๐๐ กิโลกรัมโจทก์นำไปขายแล้วเก็บเงินไว้คนเดียว คิดราคาถ่านอย่างต่ำกิโลกรัมละ ๒๐ สต.คงเป็นเงิน ๓๐๐๐ บาท จำเลยมีส่วนได้ ๑,๕๐๐ บาท จำเลยทวงค่าถ่านจากโจทก์หลายครั้งหลายหนโจทก์เพิกเฉย โจทก์จึงฟ้องคดีนี้แก้เกี้ยว จำเลยขอเอาคำให้การเป็นฟ้องแย้ง ขอให้โจทก์คืนเงิน ๑,๐๐๐ บาท แบ่งค่าถ่าน ๑,๕๐๐ บาท แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าจำเลยเป็นแต่คนงานมีหน้าที่ควบคุมคนงานไม่ได้เป็นหุ้นส่วนเผาถ่าน แต่ได้สัญญากันว่าถ้าขายถ่านได้และหักค่าใช้จ่ายแล้ว เหลือเป็นเงินเท่าใดจะแบ่งกันคนละครึ่ง จำเลยไม่ได้ลงทุนและไม่ยอมมอบเงิน ๑,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ โจทก์ได้รับถ่านจากจำเลย ๑๑,๑๑๗ ๑/๒ กิโลกรัม ขายไปแล้วได้เงิน ๒,๒๒๓ บาท๕๐ สต. เมื่อหักทุนแล้วยังขาดทุนอีก ๑,๐๓๓ บาท ๘๕ สต. โจทก์หาได้เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินรายนี้ไม่ เพราะจำเลยเป็นเพียงคนงานของโจทก์ จำเลยไม่เคยทวงค่าถ่านจากโจทก์
ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นขึ้นวินิจฉัย ๒ ข้อ คือ
๑. เรือนพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลย
๒. จำเลยได้เข้าหุ้นเผาถ่านกับโจทก์ และโจทก์ยังเป็นเป็นหนี้จำเลยอีก ๒,๕๐๐ บาท ดังฟ้องแย้งของจำเลยหรือไม่
ประเด็นแรกศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์สืบสมว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์
ประเด็นข้อ ๒ จำเลยสืบไม่ได้ตามคำฟ้องแย้งว่า เข้าหุ้นเผาถ่านกับโจทก์โจทก์สืบได้ว่าสัญญากับจำเลยเพียงว่า ถ้ามีกำไรจากการเผาถ่านจะแบ่งกำไรให้จำเลยครึ่งหนึ่ง แต่การเผาถ่านขายขาดทุนโจทก์จึงไม่ได้แบ่งผลกำไรให้จำเลย พิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลย ให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากเรือนพิพาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าสำหรับประเด็นที่ว่าเรือนพิพาทเป็นของผู้ใดนั้นข้อนำสืบของโจทก์ไม่น่าเชื่อแต่ที่จำเลยอ้างว่าเรือนพิพาทเป็นของตนนั้นมีเหตุผลสนับสนุน ข้ออ้างหลายหระการคือ นายฟัดยืนยันว่าขายไม้ดังกล่าวให้จำเลย นายโกนผู้ใหญ่บ้านก็ทราบว่าจำเลย ซื้อไม้ดังกล่าวจากนายพัดและรับรองว่าชาวบ้านพูดกันว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลย ทั้งโจทก์เองก็ยอมรับว่าเดิมจำเลยมีที่ดินบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลปากแดงและมีกระบือ ๒ ตัว เมื่อจำเลยไปอยู่เรือนพิพาทกระบือและกระท่อมเดิมของจำเลยหายไป ซึ่งรับกับคำของจำเลยที่ว่า จำเลยขายที่ดินบ้านเรือนและกระบือ+ควบคุมการตัดไม้และเผาถ่าน จึงฟังว่าเรือนพิพาทนอกจากเสาไม้เต็ง ( ไม้แก่น ) ๖ ต้นที่โจทก์ซื้อมาจากนายมิ่งนั้นเป็นของจำเลย
สำหรับประเด็นที่ว่าโจทก์จำเลยเข้าหุ้น+ถ่านหรือไม่นั้น ตามที่คู่ความนำสืบดังกล่าวแล้วเห็นได้ว่าโจทก์ยอมรับว่าการเผาถ่านนั้นโจทก์จำเลยตกลงแบ่งกำไรกันคนละครึ่ง โจทก์คงปฏิเสธแต่ว่าจำเลยไม่ได้ลงทุนและไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกับโจทก์แต่ตามข้อเท็จจริงที่ศาลนี้รับฟังมาแล้วในตอนต้นว่า จำเลยถึงกับขายทีดินบ้านเรือนและกระบือของตนเพื่อนมาปลูกเรือนในที่ของโจทก์เพื่อคุมงานเผาถ่านนี้น่าเชื่อว่าจำเลยคงได้มั่นใจจากโจทก์เกี่ยกับฐานะใหม่ของตนเพียงพอว่าโจทก์ชวนมาเข้าหุ้น มิใช่มาเป็นลูกจ้างโจทก์โดยไม่มีความแน่นอนในอนาคตแต่อย่างใด ศาลนี้เชื่อว่าโจทก์จำเลยคงได้ตกลงเป็นหุ้นส่วนกันมากแต่ที่จำเลยจะยอมเป็นลูกจ้างของโจทก์ และฟังว่าโจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนกันโดยจำเลยลงเงินสดเป็นทุน ๑,๐๐๐ บาทเท่ากัน โดยตีราคาที่ดินและเตาเผาถ่าน ๓ เตา แทนเงิน ส่วนกำไรที่จำเลยฟ้องขอแบ่งนั้น จำเลยเองไม่รู้ว่าขายถ่านได้เท่าไรมีกำไรเท่าไร ฝ่ายโจทก์นำสืบว่าขายขาดทุน แต่ไม่แน่ว่าขาดเท่าไร เป็นอันฟังไม่ได้ว่าขาดทุนเช่นเดียวกัน จึงต้องฟังว่าหุ้นส่วนรายนี้ไม่มีกำไรที่จะคืนให้จำเลย
อนึ่งการที่จำเลยมาฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนทุนและแบ่งกำไรในระหว่างหุ้นส่วนให้ในคดีที่เถียงกรรมสิทธิเรือนพิพาทเช่นนี้ ไม่ชอบด้วยวิธีการ แต่เมื่อศาลล่างได้รับพิจารณาสืบพยานเรื่องหุ้นส่วนมาจนสิ้นกระแสร์ความแล้วเช่นนี้ ศาลฎีกาจะรื้อฟื้นให้พิจารณาสืบพยานเรื่องหุ้นส่วนกันอีกครั้งหนึ่งก็จะเป็นการเสียหายแก่คู่ความ โดยไม่ได้ข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้น แต่ประการใดจึงเห็นควรพิพากษาไปเสียที่เดียว
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าเรื่อนพิพาทนอกจากเสา ๖ ต้นที่โจทก์ซื้อมาจากนายมิ่งเป็นของจำเลย ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนเรือนนี้ นอกจากเสาไม้จากที่ของโจทก์และให้โจทก์คืนเงิน ๑,๐๐๐ บาท ค่าลงหุ้นให้แก่จำเลย