คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1193/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ชั้นแรกโจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า”Aquafresh” ออกเสียงว่า แอควาเฟรช แต่นายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนให้โดยอ้างว่าเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของจำเลย ซึ่งนายทะเบียนรับจดทะเบียนไว้แล้ว การโต้เถียงกันในชั้นดังกล่าวจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ว่าเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยหรือไม่ เมื่อโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าแล้ว โจทก์จะนำเรื่องเดียวกันนั้นมาฟ้องต่อศาลอีกไม่ได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา 22 แต่ในคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าและได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไว้ในประเทศต่าง ๆ เกือบทั่วโลกเป็นเวลาหลายปีแล้ว เป็นการอ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลยผู้ที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว จึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยซึ่งเป็นการใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา 41(1) โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่าAQUAFRESH (แอควาเฟรช) และ AQUAFRESH PLUS(แอควาเฟรช พลัส) ใช้กับสินค้าจำพวกยาสีฟัน โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า แอควาเฟรช แต่นายทะเบียนไม่รับจดให้อ้างว่าเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยคำว่า KWAFRESH(ควาเฟรช) ซึ่งจดทะเบียนไว้แล้ว โจทก์คิดประดิษฐ์และใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ในประเทศต่าง ๆ ก่อนจำเลย จำเลยจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยโดยไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า KWAFRESH ทะเบียนที่ 50992 และคำว่า ควาเฟรช ทะเบียนที่ 51013 ห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า KWAFRESH และคำว่าควาเฟรช ต่อไป และให้จำเลยทำลายเครื่องหมายการค้าที่มีคำว่าKWAFRESH และ ควาเฟรช จำเลยให้การว่าโจทก์เคยยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า AQUAFRESH มาครั้งหนึ่งแล้ว นายทะเบียนวินิจฉัยว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์คล้ายคลึงกับเครื่องหมายการค้าของจำเลย โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าคณะกรรมการยกอุทธรณ์ โจทก์จึงยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำภาษาไทยว่า แอควาเฟรช แล้วนำมูลเหตุเดียวกันมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จำเลยมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าโจทก์ ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนเครื่องหมายการค้าของจำเลยตามฟ้องคำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องสำหรับคำขอที่ให้มีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเสียด้วย นอกจากที่แก้ไขคงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาในชั้นนี้ว่า ฟ้องโจทก์ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 มาตรา 22วรรคสี่ (1) หรือไม่ และโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่พิพาทดีกว่ากัน
พิเคราะห์แล้ว สำหรับในปัญหาข้อแรกนั้น เห็นว่า กรณีตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 มาตรา 22 เป็นเรื่องที่เมื่อมีผู้ร้องขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า นายทะเบียนเห็นควรรับจดทะเบียนจึงได้มีการประกาศ และถ้ามีผู้คัดค้านการขอจดทะเบียนดังกล่าวก็ให้นายทะเบียนส่งสำเนาคำคัดค้านไปยังผู้ขอจดทะเบียน ถ้าผู้ขอจดทะเบียนได้ยื่นคำโต้แย้ง นายทะเบียนก็จะต้องดำเนินการตามวิธีที่กฎหมายกำหนดไว้และมีคำวินิจฉัย แล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจึงมีสิทธิเลือกว่าจะอุทธรณ์คำวินิจฉัยนั้นต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าหรือฟ้องคดีต่อศาลซึ่งกรณีเช่นนี้ ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 มาตรา 22วรรคสี่(1) ได้บัญญัติว่า เมื่อผู้อุทธรณ์ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าแล้ว ผู้อุทธรณ์จะดำเนินคดีทางศาลในกรณีเดียวกันนั้นไม่ได้ แต่คดีเรื่องนี้ เป็นเรื่องโจทก์อ้างในคำฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าจำพวกยาสีฟัน และได้คิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าปิดไว้ในสินค้าของโจทก์ เครื่องหมายการค้าคำว่าAquafresh ซึ่งอ่านออกเสียงเป็นภาษาไทยว่า แอควาเฟรช นี้เป็นของโจทก์และโจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไว้ในประเทศต่าง ๆ เกือบทั่วโลกมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และต่อมาโจทก์ได้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่พิพาทต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า แต่นายทะเบียนไม่รับจดให้ อ้างว่าเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยซึ่งนายทะเบียนรับจดทะเบียนไว้แล้วจำเลยขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยไม่สุจริต เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่พิพาทของจำเลย เห็นได้ว่า กรณีที่โต้เถียงกันในชั้นการพิจารณาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นเรื่องเกี่ยวกับว่า เครื่องหมายการค้าของโจทก์เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยหรือไม่ ซึ่งในปัญหานี้เมื่อโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าแล้ว โจทก์จะนำเรื่องเดียวกันนี้มาฟ้องต่อศาลอีกไม่ได้ตามบทกฎหมายดังกล่าว แต่ตามสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ในคดีนี้เป็นเรื่องโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลยผู้ที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว จึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย ซึ่งเป็นการใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 มาตรา 41(1) โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พุทธศักราช 2474 มาตรา 22วรรคสี่ (1) ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
สำหรับในปัญหาที่ว่า โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่ากันนั้น ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย เห็นสมควรให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นนี้ต่อไป”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่โดยวินิจฉัยประเด็นที่ว่า โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่พิพาทดีกว่ากัน

Share