คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1193/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลล่างสั่งว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การนั้น เท่ากับสั่งไม่รับคำให้การจำเลย คดีจึงปรับเข้าอยู่ใน ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 228(3) ประกอบด้วยมาตรา 18 วรรค 3 ซึ่งเป็นข้อยกเว้น ให้จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้.
จำเลยยื่นคำให้การพ้นกำหนดไป 2 วัน และยื่นคำร้องว่า การที่มิได้ยื่นคำให้การในกำหนด มิได้เป็นไปโดยจงใจ ดังนี้ ถือว่ามิได้มีพฤตติการณ์พิเศษแต่อย่างใด เป็นความผิดของจำเลยเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอห้ามจำเลยมิให้โอนสินสมรส จำเลยให้การว่า โจทก์เคยเป็นภริยาจำเลย แต่ได้หย่าขาดกันแล้ว จำเลยยื่นคำให้การพ้นกำหนดไป ๒ วัน ทนายจำเลยยื่นคำร้องว่า การที่มิได้ยื่นคำให้การในกำหนด มิได้เป็นไปโดยจงใจ จึงขอยื่น ศาลชั้นต้นสั่งว่า ข้ออ้างของทนายจำเลยฟังไม่ได้ และสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้พิจารณาหลักฐานโจทก์ไปตามประเด็น จำเลยได้ยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งแล้วยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำสั่งของศาลซึ่งสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ไม่ใช่คำสั่งระบุไว้ในมาตรา ๒๒๗,๒๒๘ ป.ม.วิ.แพ่ง จำเลยอุทธรณ์ไม่ได้ พิพากษายกอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การนั้น เท่ากับสั่งไม่รับคำให้การจำเลย คดีจึงปรับเข้าอยู่ใน ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา ๒๒๘(๓) ประกอบด้วยมาตรา ๑๘ วรรค ๓ ซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้จำเลยมีสิทธิฎีกาได้
ส่วนข้ออ้างที่ขอยื่นคำให้การนั้น มิมีพฤตติการณ์พิเศษเกิดขึ้นแต่อย่างใด เป็นความผิดของจำเลยเอง
พิพากษายืน.

Share