คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสามสมคบกันหลอกลวงโจทก์ นำรถของโจทก์จากจังหวัดลำพูนมาถึงกรุงเทพฯ โดยโจทก์มิได้ยินยอม แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นผู้ขับรถนั้นไปชนโคกกลางทางจนรถของโจทก์เสียหาย ในขณะนั้น รถของโจทก์อยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสามด้วยกัน เช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ ต้องรับผิดร่วมกันต่อโจทก์ตลอดจนถึงความเสียหายของรถที่ได้รับจากการที่จำเลยที่ 1 ขับไปชนโคนั้นด้วย เพราะเป็นผลเสียหายสืบเนื่องโดยตรงจากการกระทำของจำเลยทั้งสาม กล่าวคือ ถ้าจำเลยไม่ร่วมกันเอารถไปใช้โดยละเมิดแก่โจทก์แล้ว ความเสียหายนั้น ก็จะไม่บังเกิดขึ้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ของโจทก์ที่มีไว้ให้เช่าได้สมคมกับจำเลยที่ ๒, ๓ กล่าวเท็จหลอกลวงโจทก์ว่าจะเช่ารถไปเพียงใกล้ ๆ จังหวัดลำพูน เมื่อโจทก์หลงเชื่อให้เช่าแล้ว จำเลยทั้งสามกลับนำรถนั้นจากจังหวัดลำพูนมาจังหวัดพระนครระหว่างทาง จำเลยที่ ๑ ขับรถชนโครถเสียหาย โจทก์เสียหายโดยต้องเสียค่าซ่อม และค่าขาดรายได้จากรถนี้ รวม ๑๗,๓๐๐ บาท โจทก์ทวงถาม จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายดังกล่าว
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า เช่ารถโจทก์ในฐานะคนใช้ของจำเลยที่ ๓ มิได้กล่าวเท็จหลอกลวงโจทก์แต่อย่างใด
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ พามาเช่ารถของโจทก์โดยตกลงเช่ากับจำเลยที่ ๑ เพื่อเดินทางจากจังหวัดลำพูนไปพระนคร ระหว่างทางจำเลยที่ ๑ ขับรถคนโค รถเสียหายเล็กน้อย จำเลยที่ ๓ ได้จ้างคนมาแก้ไขแล้ว จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิด และว่าฟ้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และฟังว่า จำเลยที่ ๒ ไปหลอกโจทก์ที่บ้าน และคบคิดกับจำเลยที่ ๑ ปิดบังความจริงไว้ ส่วนจำเลยที่ ๓ ร่วมมือกับจำเลยที่ ๒ และปิดปากจำเลยที่ ๑ ด้วยอามิศ เพราะต้องการเช่ารถราคาถูกจากลำพูนไปกรุงเทพฯ จำเลยทั้งสามจึงได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย คือ เอารถไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์และนอกทางการที่จ้างด้วย ส่วนเหตุรถชนโค นั้นเป็นผลเสียหายสืบเนื่องโดยตรงจากการละเมิดของจำเลย ซึ่งถ้าจำเลยไม่ร่วมกันเอารถไปใช้ ความเสียหายก็่จะไม่บังเกิดขึ้น และรถโจทก์ก็อยู่ในความครอบครองของจำเลย ทั้งสาม แม้จะเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ ก็ตาม ก็ไม่มีทางที่จำเลยอื่นจะปัดความรับผิดไปได้ พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน รวม ๑๒,๒๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๒ และ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์สมบูรณ์ ส่วนความรับผิดชอบของจำเลยที่ ๒, ๓ นั้น เห็นว่าไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ ได้ไปเกี่ยวข้องหรือล่อลวงโจทก์ประการใด จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถของโจทก์มีอำนาจตกลงในเรื่องค่าจ้าง และการที่จำเลยที่ ๑ ขับรถไปชนโคเกิดเสียหายขึ้นนั้น ไม่ทำให้จำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ได้ล่อลวงเอารถของโจทก์ไป จึงพิพากษาแก้ศาลชั้นต้นว่า เฉพาะจำเลยที่ ๒ – ๓ ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ ๒ – ๓ ต้องร่วมรับผิดในค่าเสียหายตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้ว ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ด้วย
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยที่ ๒ และ ๓ สมคบกันปิดบังความจริงแก่โจทก์ในข้อที่จะเช่ารถไปกรุงเทพฯ โดยไปกล่าวเท็จหลอกลวงโจทก์ว่าจะเช่ารถไปเพียงใกล้ ๆ จังหวัดลำพูน อย่างไกลก็แค่บ้านโอ่ง ทั้งนี้ ก็มีเหตุผลอยู่ว่า จะได้เสียค่าเช่าถูกประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง จำเลยที่ ๒ ทราบดีอยู่ว่า ถ้าบอกโจทก์ตามตรงว่าจะเช่ารถจากลำพูนไปกรุงเทพฯ โจทก์คงจะไม่ยอม จึงต้องหลอกโจทก์ว่า จะเอาไปเพียงใกล้ ๆ โจทก์จึงตกลงด้วย และว่าราคาให้ไปตกลงกับคนขับ คือ จำเลยที่ ๑ เพราะมีกำหนดอยู่
จำเลยที่ ๑ ก็ทราบถึงการหลอกลวงนี้ดี แต่ก็โดยอามิศสินจ้างจากจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมปกปิดโจทก์ไปด้วย ในระหว่างทาง จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถของโจทก์คันนี้ชนโค รถโจทก์เสียหาย
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้งสามได้สมคบกันหลอกลวงโจทก์และนำรถของโจทก์ถึงกรุงเทพฯ โดยโจทก์มิได้ยินยอม การกระทำเช่นนี้เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียหาย รับการที่รถไปชนโคกลางทางนั้น แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นผู้ขับรถ แต่ก็เป็นผลเสียหาย สืบเนื่องโดยตรงกับการกระทำของจำเลยทั้งสาม กล่าวคือ ถ้าจำเลยไม่ร่วมกัน เอารถไปโดยละเมิดแก่โจทก์แล้ว ความเสียหายนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น และรถของโจทก์ในขณะนั้น อยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสามด้วยกัน ได้ชื่อว่าร่วมกันกระทำละเมิด
พิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น่

Share