แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชายหญิงอยู่กินกันฉันสามีภริยา แต่มิได้จดทะเบียนสมรส ชายเอาที่ดินของหญิงไปขายฝากไว้กับผู้อื่นโดยความรู้ เห็นยินยอมของหญิง ครบกำหนดไถ่ถอนก็ไม่ไถ่ ผู้รับซื้อที่ดินนั้นได้ปกครองที่นั้นอย่างเจ้าของต่อมาอีก 7 ปี เช่นนี้เมื่อปรากฎว่าที่ดินนั้นเป็นที่มือเปล่า ผู้รับซื้อฝากที่ไว้ย่อมได้สิทธิในที่นั้นโดยการครอบครองหญิงไม่มีสิทธิเอากลับคืนได้./
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ ขายฝากไว้กับโจทก์ด้วยความรู้เห็นยินยอมของจำเลยที่ ๓ ผู้เป็นภริยา ครบกำหนดแล้วไม่ไถ่ ยอมให้ที่หลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ โจทก์ปกครองมา ๗ ปี จำเลยที่ ๑ เช่าทำ ต่อมาไม่ชำระค่าเช่า โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่า แต่จำเลยที่ ๑ – ๒ บุกรุกเข้าไถนาและทำนาพิพาททั้งแปลง จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาท เป็นของโจทก์
จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของนางไถ้ จำเลยที่ ๓ โจทก์ยื่นคำร้องขอเรียกนางไถ้เข้ามาเป็นจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ต่อสู้
กรรมสิทธิและฟ้องแย้งขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๓
ศาลชั้นต้นเชื่อว่านางไถ้จำเลยที่ ๓ รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาขายฝากที่พิพาทไว้แก่โจทก์ จึงพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลย
นางไถ้จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นางไถ้จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อได้ความว่านางไถ้จำเลยยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาขายฝากที่พิพาทแก่โจทก์ และทีพิพาทเป็น ที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ โจทก์ย่อมได้สิทธิโดยการครอบครอง ข้อที่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ มิได้จดทะเบียนสมรสไม่ ช่วยให้ชนะคดีได้
จึงพิพากษายืน.